posttoday

กลบแผลระบายข้าวรัฐ ปิดอย่างไรก็ไม่มิด

17 ตุลาคม 2555

ประเด็นการระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล 12 ล้านตัน โดยเฉพาะการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ที่ บุญทรง เตริยาภิรมย์

โดย...บากบั่น บุญเลิศ/จตุพล สันตะกิจ

ประเด็นการระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล 12 ล้านตัน โดยเฉพาะการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ที่ บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงต่อสาธารณชนว่า ได้ทำสัญญาซื้อขายข้าว 7.3 ล้านตัน จำนวน 6 สัญญา กับ 4 ประเทศ โดยได้ทยอยส่งมอบข้าวไปต่างประเทศบางส่วนไปแล้ว และข้าวทั้งหมดจะถูกส่งมอบแล้วเสร็จในสิ้นปี 2556 กำลังกลายเป็นแผลใหญ่ที่รัฐบาลกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

แม้จะมีคำอรรถาธิบายว่า การระบายข้าวออกไปจะทำให้รัฐบาลจะได้เงินค่าข้าว 2.6 แสนล้านบาท นำมาใช้เป็นเงินหมุนเวียนในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2555/2556 ที่กำหนดปริมาณที่ 26 ล้านตันข้าวเปลือก ที่รอคลอดอยู่อีกรอบ

แต่บรรดาพ่อค้าส่งออก นักวิชาการ แม้แต่ “หม่อมอุ๋ย” ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กลับไม่มีใครเชื่อ

หลายคนตั้งประเด็นสงสัยว่า การขายข้าวสารแบบจีทูจี “ไม่มีจริง”

หลายคนสงสัยว่าวิธีการขายข้าวแบบจีทูจีรอบนี้ของรัฐบาลนั้น “สุดพิลึก” เพราะเหตุใดต้องกำหนดราคาขายหน้าคลังหรือขายข้าวหน้าโกดัง

เพราะที่ผ่านมาการขายข้าวแบบจีทูจีนั้นจะมีการโควตราคา F.O.B. หรือราคาสินค้าที่ส่งมอบ ณ ท่าเรือกันแทบทั้งสิ้น

การกำหนดราคาขายข้าวทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างในด้านราคาและต้นทุนกันลิบลับ

การขายข้าวที่โควตราคา F.O.B. นั้น ผู้ซื้อข้าวจากต่างประเทศไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสภาพข้าว ไม่ต้องเสียเวลา และมีค่าใช้จ่ายในการขนข้าวออกจากโกดังก่อนส่งออกที่ท่าเรือ

ขณะที่การโควตราคาซื้อขายข้าวหน้าคลัง ทำให้ผู้ซื้อข้าวมีค่าใช้จ่ายการปรับปรุงสภาพข้าว ค่าบรรจุกระสอบ และค่าขนส่งตลอดทาง

กลบแผลระบายข้าวรัฐ ปิดอย่างไรก็ไม่มิด

บรรดาพ่อค้า นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าว จึงตั้งคำถามคำโตว่า จะมีใครที่ไหนยอมซื้อและแบกรับต้นทุนในราคาแพง

การออกมาชี้แจงของบุญทรงว่า รัฐบาลได้ขายข้าวหน้าคลังเพื่อส่งออกแบบจีทูจีในขณะนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า เป็นข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้เสียแล้ว

เนื่องเพราะมีตัวเลขไม่สมเหตุสมผลอย่างน้อย 2 ประเด็น

1.กรมการค้าภายในระบุข้อมูลว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2 ต.ค. 2555 ไทยส่งออกข้าวไปแล้ว 5.06 ล้านตัน แต่ทั้งหมดเป็นการระบายข้าวของเอกชนทั้งสิ้น

2.ตามปกติต้นฤดูกาลผลิตข้าวนาปี ที่เริ่มวันที่ 1 ต.ค. 2555 เป็นช่วงที่ราคาข้าวสารในตลาดแพง เพราะผลผลิตมีน้อย สมาคมโรงสีข้าวไทยระบุว่า ข้าวสาร 5% ในตลาด ณ วันที่ 16 ต.ค. มีราคา 1,670 บาทต่อกระสอบ (100 กิโลกรัม)

ขณะที่วันที่ 23 ส.ค.3 ก.ย. 2555 ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวนาปรังออกสู่ตลาดมากที่สุด ราคาอยู่ที่ 1,750 บาทต่อกระสอบ (100 กิโลกรัม)

นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติในระบบตลาดค้าข้าวชนิดที่พ่อค้าข้าวมึนตึ้บ และทุกคนเห็นไปในทางเดียวกันว่า มีปริมาณข้าวมาเวียนเทียน

“ข้าวสารในโกดังรัฐบาลที่บอกว่า ขายแบบจีทูจีไม่ได้ไปไหน ข้าวไหลเวียนอยู่ในประเทศนี่แหละ สะท้อนได้ว่าปกติราคาข้าวต้นฤดูกาลจะแพง เพราะไม่มีข้าว แต่นี่ราคาข้าวกลับลดลง เพราะมีซัพพลายจากสต๊อกรัฐบาลเข้ามาในตลาด ขณะที่วันนี้รัฐบาลบอกว่าได้ขายข้าวแบบจีทูจีออกมา แต่ทำไมข้าวราคาลดลง” นิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าว

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ บริษัทที่รับมอบข้าวจากสต๊อกของรัฐบาลเพื่อนำไปปรับปรุงสภาพข้าวเพื่อนำไปขายแบบจีทูจีตามที่กระทรวงพาณิชย์กล่าวอ้างนั้น ปรากฏชื่อบริษัทจากจีนชื่อ GSSG IMP&EXP Corp อยู่หลายใบส่งมอบข้าว ในจำนวนไม่น้อยกว่า 10 ล็อต

ที่สำคัญเป็นการเบิกข้าวออกจากโกดังของรัฐบาล โดยไม่มีการเปิดเผย “ราคา”

นี่อาจจะเป็นข้อมูลที่นำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า ไม่มีการขายข้าวจริง แต่ข้าวที่ขายแบบจีทูจีนั้นกลับมาหมุนเวียนซื้อขายอยู่ในประเทศนั่นเอง

เมื่อการขายข้าวจีทูจีของกระทรวงพาณิชย์เป็นที่กังขา มีการเรียกร้องขอดูสัญญาซื้อขายข้าวว่ามีจริงหรือไม่ กลับถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงจากบรรดาผู้ที่รับผิดชอบโดยอ้างว่าเป็น “ความลับ”

ทั้งๆ ที่นายกรัฐมนตรีชี้แจงกับสื่อมวลชนว่า ได้ให้ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงข้อมูลกับสาธารณะให้มากที่สุดเพื่อความกระจ่าง แต่ดูเหมือนเป็นคำสั่งที่ลอยลม

หลากประเด็นเหล่านี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ต้องกระชับพื้นที่กระแสข่าวในทางลบนี้ให้ได้ และนั่นจึงเป็นที่มาของการพบปะกันอย่างเป็นทางการระหว่าง บุญทรง และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยที่มี กอบสุข เอี่ยมสุรีย์ เป็นนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและคณะ เมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา

ภาพปรากฏผ่านสื่อออกมาชื่นมื่น เมื่อผู้ส่งออกข้าวยืนยันจะสนับสนุนการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล

แต่หากจำกันได้ ผู้ส่งออกข้าวและกระทรวงพาณิชย์เป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมาตั้งแต่โครงการยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ

ในช่วงรัฐบาลเพื่อไทยตั้งไข่โครงการรับจำนำข้าวเปลือกใหม่ “คนโต” ระดับเสนาบดีในรัฐบาล นัดพบกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อขอให้ช่วยซื้อข้าวราคาสูงขึ้น แต่ปรากฏว่าคนระดับรัฐมนตรีถูกพ่อค้าปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย

นี่จึงเป็นที่มาวาทะเด็ด “พวกคุณไม่ยอมช่วยชาติ”

หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยที่อยู่ในภาวะ “ง่อนแง่น” ดำรงเรื่อยมา

กระทั่งมีการเปิดเผยว่า บริษัทส่งออกข้าว ส. ที่มีเส้นสายกับ “คนในรัฐบาล” ได้สิทธิซื้อข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล “แบบลับ” ในราคาถูกแสนถูกไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน ขณะที่มีเงินกว่า 500-1,000 ล้านบาท หล่นหายกลางทาง

เพื่อกลบข่าวการขายข้าวแบบลับๆ กระทรวงพาณิชย์จึงเลือกใช้วิธีการเปิดประมูลข้าวสาร 7.75 แสนตัน เพื่อให้มีข้าวสารจากโกดังรัฐมาหนุนเวียนในตลาดบ้าง

เพียงแต่การประมูลข้าวสารรอบแรก กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวได้แค่ 2.29 แสนตัน

ต่อมามีการเปิดประมูลข้าวสารรอบ 2 ประมาณ 5 แสนตัน ผลปรากฏว่า กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวได้เพียง 4 หมื่นตันเท่านั้น จึงมีข้าวสารออกจากโกดังรัฐบาลแค่ 2.64 แสนตัน น้อยกว่าที่กระทรวงพาณิชย์คาดไว้มาก

แต่นั่นก็ทำให้กระแสข่าวการขายข้าวแบบลับๆ หายไปจากหน้าสื่อ

ฉะนั้น การพบกันของเจ้ากระทรวงพาณิชย์ ข้าราชการระดับสูง และพ่อค้าส่งออกข้าวในครั้งนี้ จึงมีนัยสำคัญอย่างยิ่งบนเวทีการแสวงหาผลประโยชน์จากสต๊อกข้าวของรัฐบาลที่รอการส่งออกเกือบ 10 ล้านตัน มูลค่าหลายแสนล้านบาท

เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ขณะนี้ผู้ส่งออกต้องการข้าวสารไปป้อนลูกค้าตามออร์เดอร์ ไม่เช่นนั้นก็จะสูญเสียลูกค้าอย่างถาวร

อีกทั้งต้องเป็นข้าวที่มีต้นทุนถูกกว่าข้าวในโครงการรับจำนำ เพราะในตลาดขณะนี้ไม่มีทางที่ลูกค้าจะรับราคาข้าวขาว 5% ที่ 800 เหรียญสหรัฐต่อตันแน่นอน

สถานการณ์ปัจจุบันนั้น ลำพังเร่ขายข้าว 5% ที่ราคา 560-570 เหรียญสหรัฐ ผู้ส่งออกข้าวก็แทบเต็มกลืนอยู่แล้ว

แน่นอนว่า ขายอย่างไรก็ขาดทุนจะตามรังควาน

ในขณะที่รัฐบาลต้องการระบายข้าวสารออกไปให้มากที่สุด ทั้งวันนี้รัฐบาลแทบไม่มีโกดังเก็บข้าวสารจนต้องวิ่งรอกหาโกดังข้าว จนชาวนาออกมาโวยว่า โรงสีไม่รับจำนำข้าว เพราะไม่มีที่เก็บ ส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่นำมาโปะโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2555/2556 จำนวน 15 ล้านตัน ที่ต้องใช้เงินหมุนเวียน 2.4 แสนล้านบาท น่าจะไม่เพียงพอ

นี่ยังไม่นับข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2556 อีก 11 ล้านตันนั้น ที่ตอนนี้รัฐบาลก็ยังไม่รู้ว่าจะหาเงินมาจากไหนมาใช้รับจำนำ

หลายปัจจัยเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า จากนี้เป็นต้นไปบรรดาผู้ส่งออกข้าวทั่วไป จะกลายเป็นกลไกสำคัญที่จะขนข้าวในสต๊อกของรัฐบาลออกขายต่างประเทศ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เพียงบริษัทส่งออกข้าว ส. หรือ 5 เสือค้าข้าวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การยืมมือผู้ส่งออกข้าวมาสนับสนุนงานขายข้าวของรัฐบาล คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่

โดยเฉพาะหากบังเอิญมีการตกลงเงื่อนไขกันลับๆ ให้ผู้ส่งออกข้าวไทยจะขายข้าวในสต๊อก “ในนามรัฐบาล” ให้เอกชนประเทศต่างๆ ในนามรัฐบาลที่รัฐบาลทำเอ็มโอยูไว้ เพื่อดันตัวเลขส่งออกข้าวจีทูจีให้ออกมาตรงกับตัวเลขที่บุญทรงได้ประกาศไว้ว่ามีสัญญาซื้อขายข้าวได้แล้ว 7.3 ล้านตัน เพื่อปั้นตัวเลขให้ลงล็อกตามที่นัดหมาย

แต่สิ่งเดียวที่คนไทยจะไม่ได้เห็น คือ การระบายข้าวทั้งหมดจะไม่มี “ใบเสร็จ” มาโชว์แม้แต่ใบเดียว

ที่สำคัญที่สุด คือ จะไม่มีใครรู้ว่าตัวเลขขาดทุนที่ “แท้จริง” จากการขายข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด โดยเฉพาะการขายข้าวแบบจีทูจีว่าเป็นเท่าไหร่ ยกเว้นบุญทรงและนายกรัฐมนตรี

เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าข้าวสารที่กระทรวงพาณิชย์มอบให้ผู้ส่งออกนำไปขายแบบจีทูจี “ตกลง” ราคากันไว้ที่เท่าไหร่

และข้าวที่อ้างว่าขายแบบจีทูจีมีราคาเท่าไหร่ เพราะข้อมูลทุกอย่างถูกเก็บไว้เป็นความลับระหว่างนักการเมือง พ่อค้าส่งออก และผู้ซื้อปลายทาง ทั้งไม่มีการตรวจสอบเส้นทางเงินเส้นทางฉ้อฉลการขายข้าว

ทว่า หากข้าวที่ขายแบบจีทูจีไม่ได้ถูกส่งออก แต่เวียนขายในประเทศในราคาตลาด “ส่วนต่าง” จะเพิ่มขึ้นทันที

“มีความเป็นไปได้ว่า หากพาณิชย์ตกลงกับผู้ส่งออกให้เป็นตัวแทนขายข้าวจีทูจี ข้าว 7 ล้านตัน ขายจริงได้เฉลี่ย 2 หมื่นบาทต่อตัน คิดเป็นเงิน 1.4 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลบอกประชาชนว่า ขายข้าวแบบจีทูจีในราคามิตรภาพได้ 1.5-1.6 หมื่นบาทต่อตัน เป็นเงิน 1.05 แสนล้านบาท ที่ตกหล่น 4 หมื่นล้านบาท อาจหายไป” แหล่งข่าววงการข้าวบอกวิธีเล่นกลในทางตัวเลข

การรับจำนำข้าวที่คาดว่าจะขาดทุนแค่ 1 แสนล้านบาท ไม่รวมค่าบริหารจัดการปีละ 4.5 หมื่นล้านบาท อาจขาดทุนยับเพิ่มอีก 3-4 หมื่นล้านบาทก็เป็นได้

เพราะการขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลนั้น แน่นอนว่าจะต้องขาดทุนแน่นอน แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าจะมีการขาดทุนเกินความเป็นจริงหรือไม่ และเงินที่หายไปนั้นตกอยู่ที่ใคร

การพบกันระหว่างบุญทรงกับผู้ส่งออกข้าวจึงเป็นอีก “ฉากหนึ่ง” เพื่อกลบข่าวกรณีข้อสงสัยการขายข้าวแบบจีทูจีอย่างไม่ต้องสงสัย

และไม่ต่างกับกรณีการกลบข่าวขายข้าวแบบลับๆ

แต่ไม่ว่าจะปิดอย่างไรในที่สุดผลขาดทุนจะโผล่ออก