posttoday

ไม่แก้คอร์รัปชัน เศรษฐกิจปีหน้าดิ่งเหว

21 สิงหาคม 2555

สภาพเศรษฐกิจในขณะนี้ดูเหมือนจะเป็นภาพลวงตาอย่างไรพิกล โดยเฉพาะอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ

โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง

สภาพเศรษฐกิจในขณะนี้ดูเหมือนจะเป็นภาพลวงตาอย่างไรพิกล โดยเฉพาะอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ ที่ทุกสำนักเศรษฐกิจพากันหั่นอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ลง สำนักละ 1-2%

การขยายตัวของการส่งออกโดนลดมากที่สุด โดยลดจากเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่ตั้งไว้ว่าจะขยายตัว 15% ก็ปรับลดลงมาเหลือ 7-8% เท่านั้น เรียกว่าหายไปเกือบครึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากออร์เดอร์ลดลงเพราะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอย่างสหภาพยุโรปถดถอยจากปัญหาหนี้เสีย นั่นเป็นผลกระทบส่งออกทางตรง แต่ส่งออกทางอ้อมที่ส่งชิ้นส่วนไปประกอบในประเทศอื่นและส่งออก เช่น จีน ก็โดนไปอีกเด้งหนึ่ง

ฉะนั้น การจะหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะดี ทำมาค้าขายสะดวก เงินไหลเข้าประเทศสะพัด ก็เป็นไปได้ยาก นอกจากส่งออกหดแล้วการท่องเที่ยวซึ่งเป็นดุลบริการที่สำคัญก็ลดลงไปด้วย

นอกจากนี้ การลงทุนก็ขยายตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากวิกฤตน้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์ของไทยเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนใหม่หันไปมองประเทศข้างเคียง ส่วนผู้ที่ตอกเสาเข็มไปแล้วก็ต้องกล้ำกลืนลงทุนต่อสร้างโรงงานให้เสร็จ

เมื่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจทางด้านการส่งออกและการลงทุนเป็นที่พึ่งดันเศรษฐกิจไม่ได้แล้ว รัฐบาลก็จะต้องหันมาใช้การกระตุ้นการบริโภคในประเทศแทน

ฉะนั้น นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงมุ่งหน้าไปสู่ประชานิยม เพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายให้ประชาชน เพื่อให้มีกำลังจับจ่ายใช้สอยให้เศรษฐกิจหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถคันแรก กองทุนต่างๆ โครงการรับจำนำราคาข้าว

ไม่แก้คอร์รัปชัน เศรษฐกิจปีหน้าดิ่งเหว

 

ขณะนี้ประชาชนเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจไม่ดีจริงหรือ เพราะการค้าขายก็ยังขายได้ แต่น้อยลงเพราะข้าวของแพง กำลังซื้อในประเทศยังมี ล้วงกระเป๋าไปแล้วก็ยังเจอเงิน

เมื่อไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี การใช้จ่ายของประชาชนก็ยังมีแรงส่งต่อไป ซึ่งก็ส่งผลดีที่ไม่ทำให้เกิดผลกระทบทางจิตวิทยาจนประชาชนเลิกใช้จ่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายทางเศรษฐกิจคือ เกิดเงินเฟ้อและเงินฝืดในเวลาเดียวกัน

แหล่งข่าวจากภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น (ภตค.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังไม่ออกผลว่าถดถอยชัดเจน เพราะรัฐบาลพยายามกระตุ้นด้วยนโยบายจริงและด้วยวาจาว่าจะทำโน่นทำนี่ จะลงทุนโครงการขนาดใหญ่ แต่ทาง ภตค.มองแล้ว การใส่เงินเข้าไปในระบบผ่านการลงทุนภาครัฐ จะไม่ส่งผลให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากอย่างที่ต้องการ

ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ภตค.ได้รับการร้องเรียนจากเอกชนหลายรายมาก เรื่องการต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะในการประมูลก่อสร้างโครงการต่างๆ ของรัฐ ขณะนี้ต้องจ่ายอยู่ 25-30%

ดังนั้นเงิน 100 บาท ที่ใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจจะหายไป 30 บาท จะมีเงินไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงเพียง 70% เท่านั้น

“ตัวอย่าง หากรัฐลงทุน 3 แสนล้านบาท โดนหักหัวคิวไป 30% จะมีเงินลงทุนจริงเพียง 2.1 แสนล้านบาท 9 หมื่นล้านหายไปกับอะไรก็ไม่รู้” แหล่งข่าวเปิดเผย

จะมองว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดีนั้น ดัชนีชี้วัดอีกตัวที่น่าสนใจก็คือ หนี้ครัวเรือน ที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า จากการทำโพล พบว่า หนี้ชาวนาในปี 2555 นี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 แสนบาท ต่อครัวเรือน สูงขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปี 2554

และหนี้นอกระบบของคนกลุ่มรากหญ้าจะเพิ่มขึ้นเพราะเงินเฟ้อ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทั้งปุ๋ย ยาฆ่าแมลงและต้นทุนโดยรวม ทั้งยังไม่มีความมั่นใจต่อราคาสินค้า ซึ่งเกรงว่าราคาจะตกต่ำ แม้รัฐบาลจะรับจำนำข้าวก็ตาม ชาวนาก็ไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ถึง 100%

นอกจากนี้ ทั้งโครงการบัตรเครดิตชาวนา บัตรเครดิตพลังงาน ที่ดูเหมือนจะดีว่ารัฐบาลช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่หากใช้อย่างไม่ตรงวัตถุประสงค์ บัตรเครดิตเหล่านี้อาจจะสร้างหนี้เพิ่มให้กับผู้ใช้ได้เช่นกัน

สัญญาณการระวังตัวของธนาคารพาณิชย์ จากการเริ่มจับตาหนี้เสียและดูแลลูกค้าเป็นพิเศษหากเริ่มมีสัญญาณการค้างชำระหนี้ ธนาคารจะส่งพนักงานลงไปหารือกับลูกค้าทันที เพื่อปรับโครงสร้างรายได้ รายจ่าย ก่อนที่จะกลายเป็นหนี้เสียจริงๆ

แหล่งข่าวจากสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจนั้น จะมีช่วงเวลาได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างน้อย 3-6 เดือน เช่น หากการส่งออกเริ่มลดลงในไตรมาส 2 ในไตรมาส 4 จึงจะเห็นภาพการชะลอจ้างงาน การลดกำลังการผลิตที่ชัดเจน ซึ่งในช่วงแรกจะยังไม่เห็นผล

ดังนั้น หากเศรษฐกิจในปีนี้เริ่มดูแย่ ผลจริงๆ ที่จะเห็นจะไปเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งจะเห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน หากรัฐบาลไม่สามารถกลับนโยบายได้ทันเวลา

“ศุภชัย พานิชภักดิ์” เลขาธิการการที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) มองภาวะเศรษฐกิจปี 2556 ว่า เศรษฐกิจโลกไม่ดี และจะแย่กว่าปีนี้ ที่เติบโตเพียง 2.5%

เพราะวิกฤตหนี้ในสหภาพยุโรปที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขและปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงแค่ประเทศกรีซ แต่รวมถึงกลุ่มพิกส์ที่มีทั้งโปรตุเกส อิตาลี และสเปน นอกจากนี้ จีน ก็ระวังการเติบโตเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และปีนี้เศรษฐกิจจีนโตเพียง 8% ต่ำกว่าปีก่อนที่เติบโต 9-10%

“ลำพังเหตุการณ์ปกติเศรษฐกิจโลกโต 3.5% ยังลำบาก เนื่องจากปริมาณการค้าของโลกลดต่ำลง และปีนี้อาจลดลงต่ำกว่า 4% จากปี 2554 ที่ขยายตัวเพียง 5%” ศุภชัย กล่าว

ดังนั้น ไทยต้องระมัดระวังมากขึ้นและต้องพึ่งตลาดอาเซียน เศรษฐกิจเอเชียได้เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีแรก

ภาพลวงตาที่เศรษฐกิจไทยยังไปได้นี้ ทำให้รัฐบาลยังไม่ยอมรับความจริงว่าเรามีปัญหาเศรษฐกิจ ทางกระทรวงพาณิชย์ยังยืนยันว่าการส่งออกยังขยายตัวได้ถึง 15% ทั้งที่หน่วยงานพยากรณ์เศรษฐกิจทั้งหลายยืนยันว่าเป็นเลขตัวเดียวแน่นอน

การไม่ยอมรับความจริงของรัฐบาลนั้น มีเหตุผลเพียงประการเดียวคือ หากยอมรับว่านโยบายที่ทำมาไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดีขึ้น ก็หมายถึงรัฐบาลทำนโยบายผิดพลาด

เมื่อไม่รับความจริง ก็จะต้องตะแบงทำนโยบายที่ทำมาแล้วต่อไป ไม่ว่าจะใช้เงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดไร้ประสิทธิภาพ และจะไปก่อปัญหาต่อภาวะเศรษฐกิจในอนาคตก็ตาม

ภาพจริงของเศรษฐกิจนั้น จะเริ่มออกมาในปีหน้า และจะเลวร้ายหากรัฐบาลฉีดเงินเข้าไปในระบบผ่านการลงทุนโครงการรัฐ แต่เงินหายไปใต้โต๊ะ 25-30% ปริมาณเงินที่ไม่มากพอจะไปหมุนฟันเฟืองเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้

ตัวชี้เป็นชี้ตายของรัฐบาลที่มีงบประมาณขาดดุลสูง หาได้ไม่พอใช้คือตัวเลขหนี้ หากรัฐบาลแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้ หรือไม่จริงใจแก้ไขปัญหานี้ เศรษฐกิจก็จะเลวร้ายลงแน่นอน

เรื่องเศรษฐกิจเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ ขอเพียงให้เวลาสักพัก เมื่อน้ำลดตอจะผุดออกมาเอง