posttoday

ดีเอสไอเปลี่ยนไป"ธาริต"เก้าอี้เหนียว

14 พฤษภาคม 2555

เวลานี้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ท่าทีของ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

โดย...นิติพันธุ์ สุขอรุณ

เวลานี้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ท่าทีของ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หลังจากออกอาการแปลกๆ จนน่าสงสัย นับตั้งแต่เข้ามารับผิดชอบคดีอาญาการเมืองหลายคดีหลายเรื่องคาบเกี่ยวรอยต่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาจนถึงพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะคดีของคนเสื้อแดง

ครั้งหนึ่งในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ดีเอสไอได้สร้างวางบทบาทตัวเองด้วยการแสดงท่าทีขึงขังเอาจริงกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง พร้อมกับประกาศว่าจะเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้

ทว่า เมื่อการกลับมาเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ดีเอสไอก็เป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ธาริตนับว่าเป็นหนึ่งในข้าราชการระดับสูงคนแรกๆ ที่เข้าข่ายได้ไปนั่งตบยุงในสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทำตัวเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนเสื้อแดงมาหลายกรรมหลายวาระ

สร้างความขุ่นมัวให้กับมวลชนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นับไม่ถ้วน เคยถูกชี้หน้าว่าเป็นแขนขาของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งรบกับคนเสื้อแดงกลางเมือง

ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ธาริตเข้าไปมีตำแหน่งสุดยอดที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้วตั้งแต่ปีที่แล้ว บางอย่างกลับไม่เปลี่ยนไปด้วย เพราะธาริตยังสามารถรักษาเก้าอี้เอาได้อย่างเหนียวแน่น

สวนทางกลับ “ถวิล เปลี่ยนศรี” ซึ่งไม่ได้อยู่ในข่ายถูกเด้งเร่งด่วนหากเทียบกับธาริต กลับต้องพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปก่อนใครเพื่อน

 

ทันทีที่ได้นั่งเก้าอี้อธิบดีดีเอสไอต่อไป การทำงานก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับรัฐบาล ตั้งแต่การสนองนโยบายปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะการล้างบางสารซูโดอีเฟดรีน ช่วยให้นโยบายนี้กลายเป็นนโยบายรัฐบาลที่ถูกใจประชาชนมากที่สุดจากการสำรวจของโพลหลายสำนัก

เป็นอันว่าความบาดหมางในอดีตที่ดีเอสไอเคยฝากเอาไว้ได้ถูกลบออกจากความทรงจำเป็นที่เรียบร้อย

ดีเอสไอเปลี่ยนไป"ธาริต"เก้าอี้เหนียว

 

นอกจากนี้ ความปรองดองระหว่าง “ธาริต-เพื่อไทย” สะท้อนให้เห็นได้จากสถิติคดีการเมืองตั้งแต่ปี 2553-2555 พบว่าปี 2553 เคยมี 281 คดี ถัดมาปี 2554 เหลือ 48 คดี จนมาเหลือ 4 คดี ในยุครัฐบาลเพื่อไทย

ความแน่นแฟ้นของทั้งสองฝ่ายยิ่งได้รับตอกย้ำมากขึ้นไปอีก ทันทีที่ดีเอสไอมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมหลายกรณี เช่น คดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ป ดีเอสไอก็รูดม่านปิดฉากยกคำร้องแบบคาใจสังคม เพราะคดีนี้มีชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา

กระทั่งมาถึงคดีล่าสุด คือ ผังล้มเจ้า ดีเอสไอมีความเห็นสั่งยุติการตรวจสอบดื้อๆ ให้เหตุผลว่า “ไม่มีพยานยืนยันชัดเจนการกระทำผิด ทั้ง 39 คน... หากอนาคตพบการกระทำผิด จะนำสำนวนกลับมาสอบสวนต่อได้”

ไม่ต่างอะไรกับการยกฟ้อง “จตุพร พรหมพันธุ์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำเสื้อแดง ในคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553

คดีดังกล่าวถึงดีเอสไอจะเปิดช่องว่าพนักงานอัยการจะมีความเห็นแย้ง รวมไปถึงมีหลักฐานใหม่ก็อาจทำให้กลับมารื้อฟื้นคดีใหม่ แต่สำหรับในทางการเมือง การส่งสัญญาณแบบนี้เท่ากับว่าทุกอย่างได้จบลงแล้ว

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่เคยออกมาปกป้องดีเอสไอเมื่อครั้งเป็นรัฐบาล กลับเจอสถานการณ์ภาวะ “งานเข้า” เข้าอย่างจัง ภายหลังดีเอสไอได้มีคำสั่งสืบสวนคดีเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงยังชีพน้ำท่วมย้อนหลังไปจนถึงสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ภาพของดีเอสไอที่ปรากฏลักษณะนี้คงไม่ได้แปลกอะไรหากจะถูกเสียดสีว่า “ธาริต เปลี่ยนไป”

ใช่ว่าปัญหานี้เจ้ากรมดีเอสไอจะไม่รู้สึกอะไร เพราะอย่างน้อยก็เป็นข้าราชการคนหนึ่งที่เจนจัดเรื่องทิศทางลมการ เมืองพอสมควรเช่นกัน โดยใช้ข้ออ้างว่า การทำงานเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย

อย่าได้แปลกใจว่าเหตุใด “ธาริต” ถึงรอดจากปากเหยี่ยวปาก กาได้อยู่ทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่เคยถูกหมายหัวจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และคนในรัฐบาลอีกว่า “ไม่มีที่ว่างสำหรับธาริต”

จากคนที่ไม่เคยเกือบไม่อยู่ในสายตาของรัฐบาล มาวันนี้กำลังจะกลายเป็น “มือที่ขาดไม่ได้” ส่งผลให้นับจากนี้ต้องจับตาการทำงานของดีเอสไอห้ามคลาดสายตา เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเตรียมประเคนคดีเกี่ยวกับความไม่ชอบมากลในหลายๆ เรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ให้ดีเอสไอตรวจสอบ

โดยเฉพาะกรณีกรุงเทพมหานคร (กทม.) ขยายสิทธิโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสให้ผู้ประกอบการรายเดิมจากที่เหลือ 17 ปี ไปอีกเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน

เกมนี้พรรคเพื่อไทยหวังผล 2 เด้ง กล่าวคือ เด้งแรก ทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายค้านและ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ก่อนจะมีการเลือกตั้งพ่อเมือง กทม.ใหม่ในปี 2556 โดยหากถ้าดีเอสไอมีผลสอบสวนเป็นลบต่อประชาธิปัตย์ ย่อมหมายความว่าเพื่อไทยแทบจะมีอาวุธในการหาเสียงอีกมาก และ เด้งที่สอง หวังใช้ประเด็นนี้กลบปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นของรัฐบาล

วันนี้ของดีเอสไอจะเปลี่ยนไปตามที่สังคมตั้งข้อสงสัยหรือไม่ มีเพียง “ธาริต เพ็งดิษฐ์” คนเดียวที่รู้ดีอยู่แก่ใจมากที่สุด