posttoday

บิ๊กบัง กระอัก ลับ ลวง พลาง นิรโทษกรรม

26 มีนาคม 2555

จาก “ดอกไม้” หลังรัฐประหารแปรสภาพเป็น “ก้อนอิฐ” ย้อนกลับมาถล่ม “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อย่างรุนแรง

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

จาก “ดอกไม้” หลังรัฐประหารแปรสภาพเป็น “ก้อนอิฐ” ย้อนกลับมาถล่ม “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อย่างรุนแรง

เมื่ออดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร พลิกบทบาทขออาสามารับหน้าที่ “หัวหอก” ฟื้นความปรองดองในชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ แต่ทว่าความเคลือบแคลงในเป้าหมายการปรองดอง ทำให้การเดินหน้าปรองดองกำลังกลายเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่

การเดินเกมผ่านเสียงข้างมากใน กมธ.ปรองดองฯ ล้มโต๊ะล้างระบบกันใหม่หมด ด้วยการอ้างอิงผลวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า กำลังทำให้กระบวนการปรองดองที่พยายามปลุกปั้นกันมาพังทลายลงไป

มติ 23 ต่อ 9 เสียงเห็นด้วยกับการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเฉพาะคดีการกระทำความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และคดีอาญาที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองเช่นการทำลายทรัพย์สินของรัฐหรือเอกชน

และมติ 22 ต่อ 9 เสียง เห็นด้วยกับการให้เพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทั้งหมด และไม่นำคดีที่อยู่ระหว่างกระบวนการและที่ตัดสินไปแล้วมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง

กลายเป็นประเด็นตอกย้ำความ “เคลือบแคลง” ที่ห่วงว่ากระบวนการ “ปรองดอง” เที่ยวนี้ จะเป็นเพียงแค่การปูทาง “ล้างผิด” ใหักับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีทั้งคดีความที่ตัดสินไปแล้วว่ามีความผิด และอีกหลายคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา

หลังสะบักสะบอมถูกกระหน่ำจากสังคม ทางคณะผู้วิจัย สถาบันพระปกเกล้า ในฐานะต้นทางของงานวิจัยที่ถูกหยิบยกไปใช้ใน กมธ. ได้ตัดช่องน้อย เร่งทำหนังสือถึง พล.อ.สนธิ ชี้แจงว่า คณะผู้วิจัยไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการใช้คะแนนเสียงข้างมากในการตัดสินใจทำเรื่องการปรองดอง ไม่ว่าจะเป็นใน กมธ. หรือสภาผู้แทนราษฎร

“การยึดถือเสียงข้างมากโดยละเลยความเห็นที่แตกต่างนั้นถือเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงรอบใหม่ได้อีกในอนาคต อันขัดกับเจตนารมณ์ของคณะผู้วิจัย”

บิ๊กบัง กระอัก ลับ ลวง พลาง นิรโทษกรรม

 

พร้อมทั้งเสนอให้คณะ กมธ.ทบทวนมติดังกล่าวและริเริ่มกระบวนการพูดคุยเสวนาทั่วประเทศ เพื่อให้ได้ข้อสรุปต่อการสร้างความปรองดองในชาติที่ทุกฝ่ายยอมรับ แต่หาก กมธ.หรือสภามีการลงมติเลือกแนวทางหนึ่งแนวทางใดอย่างรวบรัดด้วยเสียงข้างมาก

โดยเฉพาะในประเด็นการให้อภัยผ่านกระบวนการนิรโทษกรรมและการเสริมสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม คณะผู้วิจัยจะขอถอนรายงานวิจัยที่ได้เสนอต่อคณะ กมธ. เพื่อมิให้นำผลการวิจัยไปใช้ในการอ้างอิงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่ไม่เอื้อต่อการสร้างความปรองดองในชาติได้อีกต่อไป

ไม่แปลกที่ “บิ๊กบัง” จะต้องเป็นผู้รับที่แบกรับแรงเสียดทานทั้งหมดนี้ไปแต่เพียงผู้เดียว

เพราะท่าทีที่ “เปลี่ยนไป” จากที่เคยไม่เห็นด้วยกับการ “ทุจริตคอร์รัปชัน” จนเป็น 1 ใน 4 เหตุผลของการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 แต่ทว่าวันนี้ กลับพยายามใช้เสียงข้างมากเดินหน้ากระบวนการ “นิรโทษกรรม” ล้างความผิดที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต

พร้อมพูดวนไปวนมาเพียงแค่ “ต้องลืมอดีต คิดปัจจุบัน เพื่อสร้างอนาคตประเทศไทย”

ที่สำคัญในฐานะผู้ที่ตั้ง คตส.ขึ้นมาเอง แต่วันนี้กลับกลายเป็นผู้ที่ผลักดันล้มผลจากการดำเนินการของ คตส.เสียเอง มองข้ามประเด็นความผิดที่เกิดขึ้นมาแล้ว และเห็นว่าการไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ มีแต่จะทำให้สังคมแตกแยก ทำให้สังคมสับสนกับอดีตผู้นำคณะรัฐประหารอย่างมาก

ความสัมพันธ์แบบ ลับ–ลวงพราง ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.สนธิ เวลานี้จึงยิ่งสร้างความงงงวย เมื่อล่าสุด ถอดรหัสคำให้สัมภาษณ์จาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับสะท้อนท่าทีความสัมพันธ์ที่มีต่อ พล.อ.สนธิ ที่เปลี่ยนไป

“หลังจากที่ได้มีการค้นหาข้อเท็จจริงและวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว พล.อ.สนธิ ก็เห็นด้วยว่า ที่ผ่านมาการตั้งคณะกรรมการ คตส.เป็นการไม่ถูกต้อง และไม่เป็นการยุติธรรม อาศัยอำนาจจากการยึดอำนาจเข้ามาตรวจสอบ ไม่เป็นธรรมตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง จึงไม่สามารถที่จะยอมรับได้” พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุ

ความเป็นเนื้อเดียวกันระหว่าง “บิ๊กบัง” กับ “เพื่อไทย” ตั้งแต่เมื่อครั้งที่สนับสนุนโหวตเลือกให้ พล.อ.สนธิ เป็นประธาน จนมาสอดรับกับท่าทีการเดินหน้ารวบรัดใช้เสียงข้างมากเดินหน้า “นิรโทษกรรม–ล้มคดี คตส.” จนมาถึงท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ล่าสุด

นำมาสู่ข้อสงสัยที่ว่า การประกาศตัวเป็นคนขอสร้างความปรองดอง หลังจากเคยเป็นคนสร้างเงื่อนไขการปฏิวัติที่สร้างความปั่นป่วนจนถึงทุกวันนี้นั้น แท้จริงแล้วเป็นการรับงานใครหรือไม่ แม้เจ้าตัวออกมายืนยันว่า “ผมคงไม่หน้าด้านพอที่จะทำอย่างนั้น ไม่เคยมีการไปรับเงินรับทอง” ก็ไม่ทำให้หายสงสัยถึงเบื้องหลังการเดินหน้าปรองดองรอบนี้

ยิ่งจับส่งสัญญาณของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ผู้ที่อาสาปูถนนปรองดองมาก่อนหน้านี้ ตรงไปถึง พล.อ.สนธิ กลางในงานเสวนา “รายงานวิจัยสร้างความปรองดองแห่งชาติของสถาบันพระปกเกล้า 3 ข้อ คือ ถึงที่มาที่ไปของเบื้องหลังการปฏิวัติ ที่ พล.อ.สนธิ ไม่ยอมทำความจริงให้ปรากฏนั้น ยิ่งทำให้ความเคลือบแคลงในตัว พล.อ.สนธิ มากขึ้น

น่าสังเกตว่าแม้แต่สมาชิกพรรคเพื่อไทยที่เคยออกมาไล่บี้ “บิ๊กบัง” ระยะหลังนี้กลับมาแอ่นอกปกป้อง อดีตผู้นำคณะรัฐประหารแบบกลับตาลปัตร

ต้องยอมรับว่า การปล่อยให้ พล.อ.สนธิ ออกตัวเดินหน้ากระบวนการ “ล้างผิด” ทำให้แรงเสียดทานทั้งหมดกับความพยายามเดินหน้า “ล้างผิด” ไม่ได้ตกไปอยู่ที่พรรคเพื่อไทย หรือกลุ่มเสื้อแดงเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์โจมตีทุกอย่างกลับมาตกที่ พล.อ.สนธิ แบบไม่มีใครช่วยแบ่งรับ

จากที่เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นตอความปั่นป่วนทางการเมืองมาแล้วเมื่อครั้งตัดสินใจทำรัฐประหาร ครั้งนี้กับความพยายามที่จะเดินหน้าสร้างความปรองดองยังคงเป็นที่ถกเถียงว่าจะนำไปสู่ความผิดพลาดหนที่สองหรือไม่

ท่ามกลางความเคลือบแคลงที่ไม่จางหายว่าเหตุผลของครั้งนี้และครั้งที่ผ่านมานั้นมีอะไรอยู่เบื้องหลังภารกิจ ลับ ลวง พราง !!!