posttoday

ยุบสภาคำตอบสุดท้ายทักษิณ

04 มีนาคม 2553

เป้าหมายสำคัญที่สุดในการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเสื้อแดงในครั้งนี้คือ “ยุบสภา” เพราะเป็นประตูเดียวที่เปิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และพลพรรคเสื้อแดงจะหวนคืนสู่อำนาจได้

เป้าหมายสำคัญที่สุดในการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเสื้อแดงในครั้งนี้คือ “ยุบสภา” เพราะเป็นประตูเดียวที่เปิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และพลพรรคเสื้อแดงจะหวนคืนสู่อำนาจได้

โดย...ทีมข่าวการเมือง

“ถ้าผมจะช้ำอีกหน่อย ผมก็ไม่ได้มายด์ (รู้สึก) อะไร แต่ประเทศไทยช้ำเยอะแล้ว จะให้ช้ำต่อไปอีกหรือ ถ้าไม่อยากให้ช้ำก็ควรที่จะเริ่มพูดคุยให้มันจบ ถ้าคุณคิดว่าคุณจะบี้ผมให้ตาย คุณกำลังคิดผิด ดังนั้นวันนี้ควรจะหันหน้าเข้าหากันแบบคนไทย หรือไม่วันนี้คนไทยเหี้ยมกว่าเดิม หรือว่าคนไทยแก่เป็นเด็กใหม่”

เป็นท่าทีที่ออกมาล่าสุดจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านทาง www. voice.co.th ของนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ให้เห็นแล้วว่าการเมืองไทยกำลังเข้าสู่ทางตันอีกครั้ง และสถานการณ์กำลังจะยิ่งคุกรุ่นมากขึ้น

จากท่าทีข้างต้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้านหนึ่งย่อมหวังผลสร้างขวัญและกำลังใจให้กับคนเสื้อแดงที่อยู่ในระหว่างการเตรียมทัพรับศึกใหญ่ในวันที่ 14 มี.ค. ซึ่งมีเดิมพันค่อนข้างสูง ถ้าชนะก็ได้ทุกอย่างคืน แต่ถ้าแพ้ก็ปิดฉากชีวิตเสื้อแดงและ พ.ต.ท.ทักษิณ ทันที จึงมีความจำเป็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเน้นศึกนี้เป็นพิเศษ

 

ยุบสภาคำตอบสุดท้ายทักษิณ

เป้าหมายสำคัญที่สุดในการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเสื้อแดงในครั้งนี้คือ “ยุบสภา” เพราะเป็นประตูเดียวที่เปิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และพลพรรคเสื้อแดงจะหวนคืนสู่อำนาจได้

ทั้งนี้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ มั่นใจว่าหากมีการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งและเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล และจากนั้นก็จะถือโอกาสแก้รัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรมทุกอย่างได้ แต่ถ้าไม่มีการยุบสภา โอกาสของทักษิณที่จะกลับประเทศแทบไม่มี

ยิ่งถ้าการชุมนุมไปสู่การนองเลือด แม้รัฐบาลอภิสิทธิ์อาจกระเด็นจากเก้าอี้ แต่ใช่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมามีอำนาจได้ เพราะถ้าทหารเข้ายึดอำนาจ กระบวนการปราบปรามทักษิณก็จะยิ่งแรงขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทักษิณและพลพรรคเสื้อแดง

มีการประเมินว่าการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงหลายเดือนมานี้เสียรังวัดและคะแนนความนิยมไปพอสมควร นับตั้งแต่การให้สัมภาษณ์ที่มีเนื้อหาลักษณะหมิ่นเหม่ ตามมาด้วยยุทธศาสตร์ยืมมือกัมพูชาล้มรัฐบาลไทย ไม่ได้ผลเท่าที่ควร โดยจะสังเกตเห็นได้ว่าตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ค่อยพูดอะไรที่ล่อแหลมมากเท่าไหร่ นอกจากการสร้างวาทกรรมโจมตีอำมาตย์ หรือการเดินทางไปกัมพูชาซึ่งไม่ค่อยปรากฏตัวว่าไปพบฮุนเซนเท่าไหรนัก

กลับกัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่ได้มีการดำเนินการไป ปรากฏว่ากลายเป็นแรงสะท้อนกลับมายังเครือข่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในทางลบเสียเอง บวกกับเมื่อมีคำพิพากษายึดทรัพย์ออกมา ยิ่งทำให้เป็นการตอกย้ำแล้ว 1 ใน 4 เงื่อนไข คือ การคอร์รัปชัน ที่เป็นเหตุให้มีการรัฐประหารเมื่อปี 2549 มีน้ำหนักมากขึ้นเข้าไปอีก

ที่สำคัญผลการสำรวจความเห็นของประชาชนต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ (เอแบคโพล) มีถึง 56.7% มองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ควรยอมรับผลการพิจารณา เพราะการตัดสินของศาลถือว่าถูกต้องและยุติธรรมแล้ว คำพิพากษาชัดเจนทุกกรณี

เท่ากับว่าท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในเชิงต่อต้านคำพิพากษาย่อมหมายถึงคะแนนความนิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กำลังหดหายเช่นกัน ซึ่งคะแนนที่หายไปในส่วนนี้ไม่มากก็น้อย ย่อมจะกลายเป็นคะแนนความนิยมให้กับรัฐบาลในทางอ้อมด้วย แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วประชาชนอาจจะไม่ค่อยปลื้มรัฐบาลก็ตาม

หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ปล่อยให้สถานการณ์ทอดยาวออกไป จะช่วยให้รัฐบาลสามารถตักตวงคะแนนนิยมได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้หนทางกลับสู่อำนาจของพรรคเพื่อไทยตีบตันมากขึ้นอีกในอนาคต

ไม่เพียงเท่านี้ มองไปที่โอกาสในการเปลี่ยนขั้วในระหว่างอายุสภาตอนนี้ ยังเป็นไปได้ยากที่จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาล 5 พรรค มาร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เพราะถึงวงในรัฐบาลจะออกอาการงอนกันในเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าจะเป็นจุดอ่อนไหว แต่ที่สุดแล้วรัฐบาลเองก็สามารถตั้งโต๊ะเจรจาประนีประนอมสมประโยชน์ได้ทุกครั้ง ไม่มีวี่แววจะเปลี่ยนขั้วแต่อย่างใด

ทางเลือกของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความจำเป็นที่ต้องเร่งปิดเกมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หลังจากมีการชุมนุมในวันที่ 14 มี.ค. โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การยุบสภา

การเลือกยุทธศาสตร์นี้ แน่นอนแสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมั่นใจในศักยภาพว่ายังมีดีพอที่จะกุมเก้าอี้ สส. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือได้อย่างเบ็ดเสร็จ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเป็นเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อพรรคเพื่อไทยได้อำนาจรัฐกลับมาแล้วย่อมที่จะสามารถเนรมิตอะไรก็ได้ตามความต้องการของตัวเอง

เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ไป พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องสร้างอำนาจต่อรองในทางการเมืองให้เหนือรัฐบาลและกลุ่มการเมืองขั้วตรงข้ามกับตัวเองให้มากที่สุดอย่างแน่นอน

ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นมีอยู่เพียงอย่างเดียว คือ ต้องมีคนเสื้อแดงเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ในวันที่ 14 มี.ค. ให้มากที่สุด ยิ่งมากเท่าไหร่เครื่องมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยิ่งจะมีมากขึ้นเท่านั้น

การมีมวลชนไหลมาจำนวนมาก จะทำให้ง่ายต่อการเคลื่อนยุทธศาสตร์กดดันรัฐบาลผ่านหลายรูปแบบเหมือนกับที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคยทำสำเร็จเมื่อครั้งขับไล่รัฐบาลพรรคพลังประชาชน เวลานั้นรัฐบาลน่าจะเลือกเปิดโต๊ะเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมกับยอมรับเงื่อนไขยุบสภา

แต่ถ้าสถานการณ์กลับเป็นตรงข้าม ก็เข้าตำราน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เสื้อแดงก็ม้วนเสื่อกลับบ้าน ต้องไปเริ่มนับหนึ่งเพื่อสร้างขบวนการเสื้อแดงกันใหม่

ทว่าการยุบสภาบนเงื่อนไขของ พ.ต.ท.ทักษิณ หากเกิดขึ้นจริงอาจจะไม่นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่เพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นประตูสู่การประนีประนอมบนบรรทัดฐานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย

รูปแบบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดบนเงื่อนไขนี้ คือ การตั้งรัฐบาลแห่งชาติหลังจากการเลือกตั้ง ให้ทุกพรรคเข้ามาร่วมเป็นรัฐบาล หมุน เข็มนาฬิกาประเทศไทยกลับไปก่อนวันที่ 19 ก.ย. 2549 แก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง

เงื่อนไขนี้ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ เพราะเป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้เคยเสนอเอาไว้เหมือนกัน เป็นลักษณะของการ WinWin ทุกฝ่าย ดังที่ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ว่า

“ถ้าเราไปต่อสู้กันแบบนี้ปัญหาไม่สิ้นสุด แต่ถ้ายกเลิกเจ๊ากันหมด นิรโทษกรรมทุกฝ่าย เริ่มต้นกันใหม่ ก็จะจบด้วยดี ต้องเริ่มต้นใหม่ ที่แล้วมาก็เจ็บกันคนละหน่อย เห็นแก่บ้านเมืองร่วมกัน”

ทั้งหมดจะสำเร็จได้ก็อยู่ที่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำก่อนกัน และจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะทันที โดยที่ฝ่ายหนึ่งจะแพ้อย่างราบคาบ