posttoday

บึ้มสะเทือนเชื่อมั่นเขย่าการข่าวรัฐบาล

16 กุมภาพันธ์ 2555

สะเทือนขวัญวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมากับบรรยากาศเมืองไทยที่นึกว่าจะอบอวลด้วยกลิ่นดอกกุหลาบ

สะเทือนขวัญวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมากับบรรยากาศเมืองไทยที่นึกว่าจะอบอวลด้วยกลิ่นดอกกุหลาบ

โดย...ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว

สะเทือนขวัญวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมากับบรรยากาศเมืองไทยที่นึกว่าจะอบอวลด้วยกลิ่นดอกกุหลาบ แต่ต้องมาคละคลุ้งกลิ่นดินระเบิด เมื่อเกิดเหตุบึ้ม 3 จุด ย่านซอยปรีดี พนมยงค์ 31 และสุขุมวิท 71 สถานที่ที่ประชาชนพลุกพล่าน การจราจรหนาแน่น เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นชายชาวอาหรับสัญชาติอิหร่าน

ที่สำคัญ แขกขาวผู้นั้นเป็นเจ้าของระเบิด!

เขาวิ่งออกมาจากบ้านเช่าซึ่งเกิดเหตุระเบิดอีกจุดหนึ่ง โดยไม่สบอารมณ์ที่แท็กซี่ไม่พาหลบหนีจึงโยนระเบิดใส่ เป็นผลให้รถแท็กซี่พัง โชเฟอร์บาดเจ็บ แต่ที่สุดต้องมาโชคร้ายโดนระเบิดซะเองขณะโยนใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังติดตามตัว ขาขาดกระเด็น ถูกควบคุมตัวขยายผลทางคดี

และเป็นอะไรที่รัฐบาลไทยทำงานได้รวดเร็วหลังเกิดเหตุไปแล้ว เมื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงโดยด่วน เพื่อสรุปเหตุการณ์ระเบิดท้าทายวันแห่งความรัก

บึ้มสะเทือนเชื่อมั่นเขย่าการข่าวรัฐบาล

ผลประชุมถูกนำมาแถลง “กลุ่มคนร้ายมีทั้งหมด 4 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน ซึ่งทั้งหมดถือพาสปอร์ตประเทศอิหร่าน ขณะนี้สามารถจับกุมได้ 3 คน คือ คนร้ายที่ได้รับบาดเจ็บขาขาด คนร้ายชายที่ถูกจับกุมได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และคนร้ายที่เป็นหญิงเช่าบ้านอยู่ที่ซอยปรีดีฯ ส่วนคนร้ายอีกคนคาดว่าหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว และอาจไปกบดานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน”

ถ้อยแถลงจาก สมช. อีก 2 ประเด็นต้องพิจารณา คือ

1.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พบว่าวัตถุระเบิดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุรวมถึงที่ตรวจพบ มุ่งเป้าหมายสังหารบุคคล เพราะอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ได้มีอานุภาพร้ายแรงมากพอที่จะก่อวินาศกรรมหรือทำลายล้างสถานที่สำคัญต่างๆ

2.ขณะนี้ยังไม่ยืนยันชัดเจนว่ากลุ่มคนร้ายมีเป้าประสงค์จะก่อการร้ายในประเทศไทย และยังไม่ยืนยันชัดเจนว่ากลุ่มคนร้ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายที่ประเทศอินเดียและจอร์เจียหรือไม่

ทั้งสองประเด็นเหมือนรัฐบาลไทยพยายามสื่อสารกับประชาชนและนานาประเทศให้เกิดความเชื่อมั่น สร้างความสบายใจ แต่เนื้อในคำแถลงไม่ใช่ว่าต้องตัดประเด็นก่อการร้ายในประเทศไทยไปเลยทีเดียว

หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ทิ้งช่วงระยะเวลาไม่ห่างนัก เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัว อาทริส ฮุสเซน สัญชาติเลบานอน–สวีเดน สมาชิกกลุ่มก่อการร้ายเฮซบอลเลาะห์ ซึ่งมีการขยายผลสืบสวนสอบสวน จนต้องมาผงะกับการพบคลังแสงแอมโมเนียมไนเตรตส่วนผสมวัตถุระเบิดที่อาคารใน จ.สมุทรสาคร ครั้งนั้นเช่นเดียวกันที่ทางการไทยออกมาแถลงเบื้องต้นเหมือนกับกรณีระเบิดวาเลนไทน์ครั้งนี้ ว่า “ผู้ต้องหาไม่ได้มุ่งก่อการร้ายในไทย แต่ใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางลำเลียงไปยังประเทศที่สาม”

ข้อคาดการณ์นำมาซึ่งความอึมครึมสับสนให้ดำเนินต่อไป จริงหรือไม่ได้มุ่งก่อวินาศกรรมในประเทศไทย

เพราะอย่าลืมว่าก่อนเหตุการณ์จับกุม อาทริส เป็นผลสืบเนื่องมาจากทางการอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา เคยแจ้งเบาะแสว่าประเทศไทยกำลังตกเป็นเป้าก่อการร้าย ส่งผลให้อีก 20 ประเทศประกาศเตือนพลเมืองตัวเองให้ระมัดระวังในการเข้าประเทศไทย

ด้านหนึ่งมีการมองว่า การที่สหรัฐได้ส่งข้อมูลผ่านเจ้าหน้าที่โดยไม่ได้แจ้งทางการไทยโดยตรง ต้องการจะมีบทบาทนำอะไรหรือไม่กับประเทศย่านอาเซียน แต่ทว่าอีกด้านไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ข้อมูลการข่าวสหรัฐอเมริกาและอิสราเอลมั่วนิ่ม เพราะประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศเป็นที่ทราบกันดีถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ เป็นปฏิปักษ์กับอิสราเอลโดยตรง ที่กำเนิดขึ้นมาเพื่อขับไล่กองทัพอิสราเอลพ้นเลบานอน ขณะเดียวกัน กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทางอิหร่าน ซึ่งอิหร่านก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับสหรัฐอีกด้วย

ไม่แปลกหลังเกิดเหตุระเบิด 3 จุดในซอยปรีดีฯ และควบคุมตัวชาวอิหร่าน ทำให้สหรัฐอเมริกาและอิสราเอลออกแถลงการณ์ประณาม พร้อมกับประกาศเพิ่มความระมัดระวังเข้าพื้นที่เสี่ยงในประเทศไทย

“เราขอประณามการโจมตีนี้ ดูเหมือนว่าเรากำลังเผชิญความรุนแรงแบบนี้เพิ่มขึ้น เรามีความกังวลต่อความรุนแรงเหล่านั้น ซึ่งในบางครั้งมีความเกี่ยวข้องกับอิหร่าน” วิกตอเรีย นูลันด์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าว

เช่นเดียวกับ เอฮุด บารัต รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล กล่าวระหว่างเยือนสิงคโปร์ ว่า “เหตุระเบิดในกรุงเทพฯ เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่าอิหร่านและตัวแทนของอิหร่านยังคงก่อกรรมทำชั่วด้วยการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง และการโจมตีครั้งล่าสุดเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง อิหร่านและพันธมิตรกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน คือพวกที่ยึดมั่นในการก่อการร้าย ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของภูมิภาคและของโลก”

เพราะฉะนั้นประเด็นความขัดแย้งการเมืองระหว่างประเทศ เฮซบอลเลาะห์ผนวกอิหร่าน พุ่งเป้าเล่นงานสหรัฐและอิสราเอล จึงไม่อาจมองข้าม! แต่คำถามว่าทำไมมาเกิดในประเทศไทย เพราะไม่ได้เป็นประเทศคู่พิพาทโดยตรงกับชาติเหล่านี้ และคำถามต่อไป สถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐและอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นสถานทูต สถานประกอบการที่มาลงทุน แหล่งชุมชนที่ชาวอเมริกันและอิสราเอลมาพักอาศัยท่องเที่ยว ไม่มีอยู่ในประเทศไทยจนอาจเป็นเป้าหมายก่อเหตุเชียวหรือ

จริงอยู่ สมมติฐานที่ว่าอาจใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านขนถ่ายวัตถุระเบิดไปยังประเทศที่สาม เหมือนอย่างที่อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) ระบุว่า ขบวนการก่อการร้ายถ้าจะก่อวินาศกรรมในไทย โดยเฉพาะโจมตีด้วยระเบิดนั้น ต้องมีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 1 คน หากกลุ่มเฮซบอลเลาะห์หรือกลุ่มก่อการร้ายอื่นใดต้องการเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทยจริง จะมีการส่งคนเข้ามาหลายชุด เช่น ชุดแรกเข้ามาสืบสภาพพื้นที่ จัดหาที่พัก วัตถุระเบิด และอื่นๆ เมื่อพร้อมแล้วจึงส่งชุดปฏิบัติการเข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นมือระเบิดพลีชีพ

ข้อมูลเหล่านี้ทางการไทยรับรู้แผนและวิธีปฏิบัติต่อการระงับเหตุดี แต่น่าแปลกใจอีกเช่นกัน กลับไม่สามารถดำเนินการล็อกตัวจับกุมได้อย่างเงียบเชียบ เว้นเสียแต่มีการแจ้งเตือนจากนานาประเทศผ่านสาธารณะไปแล้ว จึงมีการดำเนินการจับกุมอย่างโจ๋งครึ่ม จนถูกวิจารณ์ว่าจัดฉากบ้าง

หรือขณะเดียวกัน หากจับคำพูดของคนฝ่ายความมั่นคงอย่างเลขาธิการ สมช. ยอมรับระหว่างแถลงว่า ประเทศไทยอาจมีจุดอ่อนเรื่องการตรวจตรานักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะความต้องการที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติให้เดินทางเข้ามาในประเทศเพื่อสร้างรายได้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศ

ทั้งหมดทั้งปวงจึงต้องกลับมาสำรวจประสิทธิภาพฝ่ายนโยบายและฝ่ายสนองนโยบาย ทั้งความร่วมมือกับนานาชาติในการพัฒนาการข่าวปราบปรามภัยก่อการร้ายมีความก้าวหน้ามากน้อยขนาดไหน รวมถึงกลไกที่ย่อหย่อนในการตรวจลงตราเข้าออกประเทศ ความหละหลวมในมาตรฐานการรักษาความปลอดภัย รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายไทยกับขบวนการก่อการร้ายที่ดูจะเป็นประเทศเสรีมีรอยยิ้ม ทำให้ขบวนการก่อการร้ายใช้จุดอ่อนเหล่านี้หลุดรอดเข้ามาใช้เป็นที่พักพิง หรือสร้างฐานขยายเครือข่าย

ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งเป้าก่อวินาศกรรมในประเทศไทย หรือใช้ไทยเป็นทางผ่าน แต่ที่แน่ๆ เหตุการณ์ระเบิดวาเลนไทน์ย่อมสร้างความไม่มั่นใจประสิทธิภาพรัฐบาลในการดูแลชีวิตและทรัพย์สินประชาชนคนไทย และลดทอนความเชื่อมั่นต่อสายตานานาประเทศ หากเกิดเหตุการณ์ที่ใหญ่ขึ้นกว่านี้แล้วรัฐบาลตามดมกลิ่นในภายหลัง