posttoday

มาร์ค "โตเดี่ยว" คุมเบ็ดเสร็จฝ่าวิกฤต

22 กุมภาพันธ์ 2553

เป็นที่น่าสังเกตว่า “ภาวะผู้นำ” ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ไต่เต้าสะสมมาหนนี้ ล้วนต้องแลกมากับความขัดแย้งกับ “เสาค้ำยัน” สำคัญอย่าง “กองทัพ” และ “พรรคภูมิใจไทย”

เป็นที่น่าสังเกตว่า “ภาวะผู้นำ” ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ไต่เต้าสะสมมาหนนี้ ล้วนต้องแลกมากับความขัดแย้งกับ “เสาค้ำยัน” สำคัญอย่าง “กองทัพ” และ “พรรคภูมิใจไทย”

โดย...ทีมข่าวการเมือง

ท่ามกลางสภาวะที่ “เสาค้ำยัน” รอบตัวรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังเพลี่ยงพล้ำกับเงื่อนงำความไม่โปร่งใสในหลายโครงการ อีกด้านหนึ่งกลับกลายเป็น “โอกาส” ให้ “อภิสิทธิ์” ได้โชว์ภาวะผู้นำจัดการปัญหา ไล่สะสม “ภาวะผู้นำ” ให้โตวันโตคืน

สอดคล้องกับดัชนีความเป็นผู้นำ ล่าสุดเดือนก.พ. ตามผลสำรวจของเอแบคโพลล์ ถีบตัวสูงขึ้นจากเดือนส.ค.ปีที่แล้วอย่างชัดเจน โดยเฉพาะด้านการควบคุมอารมณ์ ความรู้ความสามารถ ความเคร่งครัดต่อหลักศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต

มาร์ค "โตเดี่ยว" คุมเบ็ดเสร็จฝ่าวิกฤต

เป็นที่น่าสังเกตว่า “ภาวะผู้นำ” ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ไต่เต้าสะสมมาหนนี้ ล้วนต้องแลกมากับความขัดแย้งกับ “เสาค้ำยัน” สำคัญอย่าง “กองทัพ” และ “พรรคภูมิใจไทย” จนอาจลุกลามส่งผลสะเทือนไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาล

โดยเฉพาะความขัดแย้งระลอกใหม่ระหว่าง “กองทัพรัฐบาล” จากชนวนปัญหาเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 ที่นายกฯ สั่งระงับการซื้อล็อตใหม่และส่งทบทวนการใช้ปฏิบัติงานในพื้นที่ หลังผลการตรวจสอบประสิทธิภาพยืนยันว่าถูกต้องเพียง 4 ครั้ง จาก 20 ครั้ง

กลายเป็นปัญหาหนักอกให้กองทัพต้องออกมาคลี่คลายความสงสัยของสาธารณชน กับการใช้งบกว่า 751 ล้านบาท กับการจัดซื้อเครื่องจีที 200 กว่า 850 เครื่อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 25502553 ที่ถูกตั้งข้อสังเกต ถึงเงื่อนงำการจัดซื้อ หลังจากมีนักวิชาการออกมาตั้งข้อสังเกตถึง “ส่วนต่าง” ราคาต้นทุนไม่กี่บาทกับราคาที่กองทัพสั่งซื้อเครื่องละล้านกว่าบาท

ที่สำคัญเรื่องนี้ถูกส่งต่อไปให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กรมการปกครอง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พิจารณาตรวจสอบเงื่อนงำการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้ ว่าเป็นไปตามกระบวนการโปร่งใสหรือไม่ รวมถึงการหาคนผิดมาลงโทษ

ตามด้วยพรรคเพื่อไทย และกลุ่มเสื้อแดง ที่เกาะติดหยิบยกประเด็นนี้ “ดิสเครดิต” กองทัพ กระทบชิ่งไปถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) งานนี้จึงมีแต่จะทำให้ “กองทัพ” ภายใต้การนำของบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากมากขึ้น

ในแง่ความ “ขัดแย้ง” ระหว่างกองทัพและรัฐบาล ดูจะไม่จบสิ้นลงง่ายๆ ยิ่งหลังจากที่บิ๊กป๊อกนำทีมกรมสรรพาวุธ กรมส่งกำลังบำรุง กรมยุทธการทหารบก ตัวแทนกองทัพอากาศ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่ออกมาชี้แจงความโปร่งใส และยังยืนยันจะใช้เครื่องนี้ต่อไปหลังไม่มีเครื่องมือทดแทน

อานุภาพของ “จีที 200” เที่ยวนี้ จึงส่งผลต่อ “กองทัพ” สาหัสยิ่งกว่าระเบิดเอ็ม 79 ที่ยิงเข้าไปลูบคม “บิ๊กป๊อก” ถึงกองทัพบก แบบไม่สามารถจับมือใครดมได้ ที่สำคัญ “แผล” นี้จะทำให้ “กองทัพ” ต้องปิดทางการคิด “ปฏิวัติ” ตามกระแสข่าวที่ระบุว่ามีความพยายามจะผลักดันให้เกิดขึ้น

ถัดมาที่อีกเสาค้ำยันอย่างพรรค “ภูมิใจไทย” ขณะนี้ก็มีสภาพสะบักสะบอม ไม่ต่างจากองทัพ โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากปัญหาเรื่องการซื้อขายตำแหน่งที่ถูกแฉว่ามีการซื้อขายตำแหน่งกันมากที่สุดยุคหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการ รองผู้ว่าราชการ ที่ราคาสูงถึง 20 ล้านบาท ไปจนถึงเรื่องความผิดปกติในการดำเนินการเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าโรงเรียนนายอำเภอ ประจำปี 2550 ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

รวมทั้งปัญหาเรื่องคอมพิวเตอร์ในโครงการเช่าระบบให้บริการประชาชนด้านการทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนแบบใหม่ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ วงเงิน 3,400 ล้านบาท ที่นายกฯ สั่งการให้ดูแลเป็นพิเศษ ขณะที่ฝ่ายค้านเตรียมหยิบยกมาเป็นประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจถล่มพรรคภูมิใจไทย กระทบไปถึงรัฐบาล

นาทีนี้ พรรคภูมิใจไทย จึงต้องเผชิญกับปัญหารุมเร้าอย่างหนัก ยิ่งนายกฯ อภิสิทธิ์สั่งการให้เอาจริงเอาจังกับการตรวจสอบเรื่องต่างๆ เหล่านี้มากเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลกดดันไปถึงพรรคภูมิใจไทยมากขึ้นเท่านั้น ก่อนจะย้อนกลับมาเป็นแรงกดดันที่ส่งผลสะเทือนมาถึงรัฐบาลอีกทอดหนึ่ง

ไม่เว้นแม้แต่สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล อีกหนึ่งในเสาค้ำยันของรัฐบาล ยังต้องประสบกับปัญหารุมเร้าไม่ต่างจากเสาค้ำยันอื่นๆ โดยเฉพาะล่าสุด กับการล้มเหลวในหน้าที่ไม่สามารถโน้มน้าวสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ให้มาร่วมกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามแนวทางของพรรคร่วมรัฐบาลเสนอได้

ผลลัพธ์ครั้งนั้น นอกจากสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของ “ผู้จัดการรัฐบาล” ที่มีต่อสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว อีกด้านหนึ่งยังกระทบความสัมพันธ์กับสมาชิกภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง ที่สะท้อนบารมีการไม่สามารถคุมทิศทางภายในพรรคได้ ปล่อยให้ “อภิสิทธิ์” ฉวยจังหวะสร้างความเป็นผู้นำภายในพรรคให้ชัดเจนขึ้น

ด้านหนึ่งจึงเหมือนจะเป็นปัญหาต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ในวันที่นายกฯ อภิสิทธิ์ “โตเดี่ยว” ปล่อยให้รอยร้าวระหว่าง “เสาค้ำยัน” กับรัฐบาลขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ทว่าสุดท้ายอาจกลายเป็นผลดีกับรัฐบาลเอง เมื่อ “อภิสิทธิ์” พลิกสถานการณ์โชว์ความเด็ดเดี่ยวเหนือบรรดา “เสาค้ำยัน” คุมทัพนำรัฐบาลด้วยตัวเอง

แถมหยิบฉวย “จุดแข็ง” เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต มาเป็นธงนำในการดำเนินการกับ “กองทัพ” และ “พรรคร่วมรัฐบาล” ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ต้นทุนที่มีอยู่ของ “อภิสิทธิ์” งอกเงยเพิ่มขึ้น จนสามารถใช้คะแนนนิยมจากประชาชนมาเป็นเสียงสนับสนุน แทนบรรดาเสาค้ำยันที่ทำหน้าที่ประคองเสถียรภาพรัฐบาล

ยิ่งในวันที่บรรดาเสาค้ำยันอ่อนแรงไปกับแรงเสียดทานรอบด้าน จนยากจะเคลื่อนไหวทางการเมืองได้สะดวกแล้ว สภาพกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจึงตกมาอยู่ที่นายกฯ แบบสมบูรณ์ ยิ่งได้เสียงสนับสนุนจากชาวบ้านด้วยแล้ว งานนี้จึงน่าจะเป็นผลดีสำหรับ “อภิสิทธิ์” กับการบริหารงานนำพาประเทศฝ่าหลุมระเบิดอีกมากมาย