ลุยทำหน้าที่ฝ่ายค้านสร้างสรรค์ ไล่บี้รัฐบาลเพื่อไทย และนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งแต่ยังไม่ทันได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
แน่นอนว่าความพ่ายแพ้แบบหมดรูป เมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทำให้ประชาธิปัตย์สะบักสะบอมไม่เป็นท่า และกลายเป็นภาระหนักอึ้งของกรรมการบริหารชุดใหม่ ที่ “คู่หัวหอก” หัวหน้าเลขาฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเฉลิมชัย ศรีอ่อน ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้จึงเป็นนาทีทองของประชาธิปัตย์ !!!
เพราะแค่จังหวะเริ่มตั้งไข่ “ยิ่งลักษณ์” ก็ออกอาการตุปัดตุเป๋ ไปตามเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ทั้งข้อกังขาในความสามารถการบริหารงาน เมื่อมีเสียงค่อนขอดว่ายังต้องรอฟังคำบัญชาจากพี่ชายที่อยู่ต่างประเทศ จนฉุด “ภาวะผู้นำ” ที่นับวันจะดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ
โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงรายละเอียดนอกสคริปต์ หลบการตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ไปจนถึงการไม่ชี้แจงในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่มอบหมายให้รองนายกฯ หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจงแทน ซึ่งมีแต่จะทำให้เก้าอี้นายกฯ หญิงสั่นคลอนขึ้นเรื่อยๆ
งานนี้ประชาธิปัตย์ ในฐานะฝ่ายค้านมืออาชีพที่ร้างเวทีมานาน จึงเตรียมลับฝีปากไว้เตรียมรับน้องนายกฯ ป้ายแดง
ยิ่งในวันที่นโยบายโดนใจทั้งหลาย ซึ่งดัดแปลงมาจากเวอร์ชัน นายห้างตราดูไบห่อ ล้วนแต่ถูกโจมตีจากทั้งฝ่ายนักวิชาการและภาคเอกชน ถึงรายละเอียดความเป็นไปได้ และผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ที่จะเป็นปัญหาตามมา
เวทีอภิปรายนโยบายนี้จึงน่าจะมีหลายแผลที่ “ประชาธิปัตย์” เตรียมหยิบยกขึ้นมารุมถล่มรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายหาเสียง ที่ระยะหลังน้ำเสียงแกนนำพรรคเริ่มอ่อยลง รวมทั้งมีคำอธิบายถึงเงื่อนไขที่ออกมาชี้แจงหากจะทำนโยบายนั้นๆ
ดูกระบวนทัพของประชาธิปัตย์งวดนี้ นอกจาก “อภิสิทธิ์” ที่นำทีมอภิปรายฯ ในภาพรวม แบ่งออกเป็น 3 หมวด 400 นาที ชัดเจนว่า น้ำหนักส่วนใหญ่เทไปทางเรื่องเศรษฐกิจ ที่ให้เวลามากที่สุดใน 3 หมวด คือ 200 นาที ที่มีขุนพล 16 คน เตรียมชำแหละนโยบาย
งานนี้ “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” และ “กรณ์ จาติกวณิช” นำทีมอภิปรายฯ เศรษฐกิจ พุ่งเป้าเรื่องปากท้อง มาตรแก้ปัญหาสินค้าแพง และการเพิ่มรายได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง 300 บาท หรือเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท ที่คนบางส่วนได้ประโยชน์ตรงนี้ แต่ภาพรวมคนอื่นๆ ในสังคมต้องรับผลกระทบกับภาวะเงินเฟ้อที่ข้าวของราคาแพงขึ้นตามมา
ไปจนถึงนโยบายอื่นๆ เช่น เรื่องการประกันรายได้ จำนำสินค้าทางการเกษตร ความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก ไปจนถึงระบบโลจิสติกส์ และจนถึงนโยบายด้านนโยบายกองทุนพลังงาน
นโยบายเรื่องสังคมจะอภิปราย 10 คน 80 นาที และนโยบายเรื่องความมั่นคง คนอภิปราย 10 คน 120 นาที
ทว่าการประกาศไม่ชี้แจงการอภิปรายด้วยตัวเองของ ยิ่งลักษณ์ มีแต่จะทำให้ ด้านหนึ่งอาจจะทำให้ “ยิ่งลักษณ์” ไม่ต้องตกเป็นเป้าหลักที่ถูกรุมถล่มในสภา แต่อีกด้านหนึ่งก็จะกลายเป็นปมสะสมที่จะฉุดให้ภาวะผู้นำของ “ยิ่งลักษณ์” หายไปทุกที
งานนี้ ประชาธิปัตย์ ยังตั้ง “วอร์รูม” มอบ “ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต” คอยขยายแผลการอภิปราย จับประเด็นมาเพิ่มข้อมูลรายละเอียดประกอบส่งต่อให้ประชาชนทั่วไปรับทราบ นอกเหนือจากการติดตามฟังถ่ายทอดสดเพียงอย่างเดียว
ไม่ใช่เฉพาะเวทีในสภาเท่านั้น “ประชาธิปัตย์” ยังเดินเกมรุกแทบทุกด้าน เรียกว่ามีแผลตรงไหนประชาธิปัตย์เกาะติดไม่ปล่อย
ประเดิมงานแรกด้วยการยื่นถอดถอน รมว.ต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ออกจากตำแหน่งตั้งแต่รัฐบาลยังไม่ทันได้แถลงนโยบายด้วยข้อหาให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่หลบหนีหมายจับจากคดีที่ดินรัชดา เข้าประเทศญี่ปุ่นได้เป็นกรณีพิเศษ
ก่อนนำมาสู่เปิดฉากตอบโต้แจ้งความกลับพร้อมเตรียมร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์
อีกด้านหนึ่ง “อภิสิทธิ์” ที่รีเทิร์นกลับมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคอีกรอบ ไม่ปล่อยโอกาสเดินหน้าสร้างความเคลื่อนไหว ไล่เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นและยังยืดเยื้อไม่รู้ว่าจะคลี่คลายเมื่อไหร่
ด้วยความคล่องตัวที่ไม่ต้องพะวงเรื่องการลุยพื้นที่แดงเหมือนเมื่อครั้งเป็นนายกฯ ทำให้การลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือน้ำท่วม ดูจะทันท่วงทีกว่าแต่ก่อน
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ลงพื้นที่ เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือตอนล่างที่ จ.พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์พร้อมออกมาเรียกร้องไปถึงรัฐบาลใหม่ให้ช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยด้วยมาตรฐานเดียวกับรัฐบาลประชาธิปัตย์
ก่อนเปิดตัวศูนย์ “อาสาฯ คนไทยช่วยน้ำท่วม” ประกาศตัวเป็นอีกช่องทางให้ประชาชนทั่วไปได้ส่งมอบความช่วยเหลือไปถึงผู้ประสบภัย ซึ่งได้นำถุงยังชีพราว 1,000 ถุงไปมอบให้ผู้ประสบภัยที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
การออกตัวแบบทุ่มหมดหน้าตักของประชาธิปัตย์เวลานี้ จึงเป็นงานหนักที่รัฐบาลเพื่อไทยและนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่อาจนิ่งนอนใจ
อย่างไรก็ตาม การอภิปรายนโยบายครั้งนี้ ใช่ว่าพรรค ปชป.จะรุกไล่ข้างเดียว พรรคเพื่อไทยเตรียมทีมสกัดไว้แล้วเช่นกัน ดังนั้นงานนี้ต้องติดตามอย่ากะพริบ “อภิสิทธิ์” และ “ยิ่งลักษณ์” ใครจะสร้างชื่อได้มากกว่ากัน ใครเลือดไหลกว่ากัน 2324 ส.ค. รู้ผล