posttoday

ธกส.หลังแอ่น..จำนำข้าวไม่หมูดั่งคิด

27 กรกฎาคม 2554

หนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่น่าจะทำได้เป็นอันดับแรกของพรรคเพื่อไทย ที่กำลังใส่เกียร์ลุยเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ

หนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่น่าจะทำได้เป็นอันดับแรกของพรรคเพื่อไทย ที่กำลังใส่เกียร์ลุยเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ

โดย...ทีมข่าวการเงิน

หนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่น่าจะทำได้เป็นอันดับแรกของพรรคเพื่อไทย ที่กำลังใส่เกียร์ลุยเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจตามที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนทั้งประเทศคงหนีไม่พ้น

“โครงการรับจำนำข้าว” ในราคาตันละ 1.5 หมื่นบาท ข้าวหอมมะลิตันละ 2 หมื่นบาท ที่ต้องลงมือทำได้ทันทีไม่มีติดขัด ไม่เหมือนกับโครงการค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท หรือโครงการถมทะเล ที่ยังต้องรอผลการศึกษาและเงี่ยหูฟัง

เพราะโครงการรับจำนำข้าว ขณะนี้ถือว่าได้เกิดขึ้นแล้วในฤดูกาลผลิตข้าวนาปีที่กำลังจะเปิดตัวโครงการรับจำนำอย่างเป็นทางการในเดือน พ.ย.ที่จะถึงนี้

งบประมาณก็มีพร้อมพรัก เพียงแค่ปรับหลักการจากการประกันรายได้ของรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นโครงการรับจำนำ ก็สามารถผันงบที่ผูกไว้ร่วม 56 หมื่นล้านบาท มานำร่องในการรับจำนำข้าวจากเกษตรกรร่วม 56 ล้านราย ได้สบายบรื๋อสะดือจุ่น

โครงการนี้คงหนีไม่พ้นต้องใช้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นหน่วยงานหลัก หรือแม่งานสำคัญในการเดินหน้าโครงการนี้ โทษฐานที่เป็นแขนขาของรัฐและทำงานใกล้ชิดสนิทสนมกับเกษตรกรมายาวนานร่วม 45-46 ปี

แม้โครงการพร้อม ข้อมูลมี เงินพร้อมโยกมา 5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาทำโครงการนี้ได้ แต่การทำงานใช่ว่าจะเป็นเรื่องหมูๆ

ธกส.หลังแอ่น..จำนำข้าวไม่หมูดั่งคิด

 

เนื่องเพราะหลักการที่สำคัญที่มีการหารือในเบื้องต้นระหว่างทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยและทีมงานของ ธ.ก.ส. คือ การเดินหน้าโครงการรับจำนำครั้งนี้จะเป็นการรับซื้อข้าวหรือรับจำนำข้าวจากเกษตรกรรายย่อยเท่านั้น

จะไม่มีการรับซื้อข้าวจากบรรดาพ่อค้าโรงสีเช่นที่ผ่านมา

นั่นหมายถึง จะต้องใช้สรรพกำลังในการจัดการอย่างมาก

ขณะเดียวกันโครงการนี้จะมีนวัตกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องให้จัดการอย่างเป็นระบบ นั่นคือ “บัตรเครดิตเกษตรกร” เข้ามาเกี่ยวข้อง

กล่าวคือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่จะเข้าโครงการรับจำนำจะต้องทำบัตรเครดิตเกษตรกรกับ ธ.ก.ส.ก่อน เหมือนกับการขึ้นทะเบียนเกษตรกรกลายๆ

เกษตรกรแต่ละรายจะต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารเกี่ยวกับข้อมูลเรื่องพื้นที่เพาะปลูกและจำนวนผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับในแต่ฤดูกาลผลิต

เช่น คาดว่าน่าจะได้ข้าวจำนวน 20 ตัน เจ้าหน้าที่ก็จะเอาราคาข้าวที่รัฐบาลประกาศว่าจะรับจำนำที่ราคาตันละ 1.5 หมื่นบาท มาคูณกับจำนวนผลผลิต ออกมาเป็นรายได้ที่คาดว่าจะได้รับเครดิตไปใช้ กรณีนี้เกษตรกรจะมีรายได้ประมาณร่วม 3 แสนบาท

ธ.ก.ส.ก็จะทำการเปิดวงเงินสินเชื่อ หรือโอดี ในบัตรเครดิตเกษตรกรให้ไปไม่เกิน 30% ของรายได้หรือราคาข้าวที่คาดว่าจะขายได้

กรณีนี้เท่ากับเกษตรกรจะมีวงเงินโอดีเพื่อนำไปใช้ซื้อปัจจัยผลิต เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ได้ไม่เกิน 9 หมื่นบาท

วิธีการนี้เชื่อว่าจะทำให้เกษตรกรรายย่อยได้ประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าวแบบใหม่

แค่วิธีการก็เจอปัญหาแล้ว เมื่อแกนนำพรรคเพื่อไทยกะเกณฑ์ว่าควรเปิดวงเงินโอดีให้กับเกษตรกรที่ถือบัตรชาวนาในวงเงินไม่น้อยกว่า 70% เพื่อนำไปรูดซื้อสินค้าที่เป็นปัจจัยการผลิตและสินค้าอุปโภคบริโภค

แต่ดูเหมือนว่า ผู้บริหาร ธ.ก.ส. ประเมินว่า น่าจะเปิดวงเงินโอดีให้กับผู้ถือบัตรชาวนาแค่ 30% ก็น่าจะพอ

ข้อสรุปในเรื่องวงเงินก็คงต้องถกเถียงกันอีกรอบ...แต่ถือว่าคอนเซปต์ดี

ทว่า แม้คอนเซปต์จะดูสวยหรู แต่การเดินหน้าโครงการรับจำนำครั้งใหม่ ถือว่า ธ.ก.ส.ยังต้องเผชิญกับปัญหาที่สำคัญอีกหลายด้าน

เรื่องใหญ่ที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องเงินงบประมาณมาใช้ในโครงการนี้

ที่ผ่านมารัฐบาลยังมีหนี้เน่าแปะโป้งไว้ในโครงการรับจำนำที่ทำไว้เดิมนานนับ 10 ปี กับ ธ.ก.ส. อยู่อีกถึง 1.8 แสนล้านบาท เงินก้อนนี้ยังไม่จ่าย ยังมีหน้ามาลุยไถในโครงการใหม่ก็ยุ่งขิง

เนื่องเพราะการดำเนินการในโครงการนี้พรรคเพื่อไทยได้ประมาณการคร่าวๆ ว่าจะใช้งบในการเดินหน้าโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร และโครงการรับจำนำเป็นเงินรวมกันเป็นเงินมากถึง 3 แสนล้านบาท

ขณะที่ ธ.ก.ส.มีสภาพคล่องเตรียมไว้สำหรับการทำโครงการประกันรายได้ที่จะโยกมาทำโครงการรับจำนำได้แค่ 5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

ถามว่า ส่วนต่างอีกตั้ง 2.5 แสนล้านบาท รัฐบาลจะไปหาเงินตั้งมากมายขนาดนี้มาจากไหน

จะให้ ธ.ก.ส.ออกสลากทวีสินก็ใช่ที่ เพราะทำให้ดอกเบี้ยที่ธนาคารรัฐต้องแบกรับสูงทะโร่

ทางออกเดียวที่รัฐบาลจะทำได้ คือ กู้เงินมาใช้ ซึ่งน่าจะเป็นการกู้เงินจากธนาคารรัฐด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน หรือแม้กระทั่ง ธ.ก.ส. ที่คงต้องควักสภาพคล่องของตัวเองมาจ่ายเป็นค่ารับจำนำข้าวให้เกษตรกรไปพลางก่อนแล้ว รัฐบาลค่อยผ่อนทีหลัง

เรื่องนี้ กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ได้กล่าวทิ้งท้ายในการแถลงข่าวอำลาจากเก้าอี้ รมว.คลัง ว่า ปัญหาที่กังวลคือเรื่องโครงการรับจำนำ เพราะการที่รัฐบาลออกมารับซื้อหรือรับจำนำข้าวจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดมากถึง 60-70% จะทำให้ราคาในตลาดบิดเบือน ไม่มีพ่อค้าเข้ามาซื้อข้าวแข่งกับรัฐบาล

ขณะเดียวกันก็เป็นการจูงใจให้เกษตรกรนำผลผลิตทั้งหมดเข้าสู่ระบบโครงการรับจำนำของรัฐบาล

ทำให้ต่อไปเกรงว่าจะมีผลต่องบประมาณ ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เงินประมาณไม่น้อยกว่า 4 แสนล้านบาท ในการเข้ารับซื้อข้าวทั้งหมดจากเกษตรกรในแต่ละปี

เมื่อ ธ.ก.ส.เองก็ยังรอให้รัฐบาลจ่ายหนี้เก่าคืนอยู่ หนี้ใหม่ก็มาจ่อคิว ริ้วรอยแห่งปัญหาการจัดการก็ตามมารังควาน

ทางออกในการจัดการที่น่าจะเป็นไปได้ คือ รัฐบาลควรใช้หนี้เก่าคืน ธ.ก.ส.ก่อนที่จะมีการเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวชุดใหม่ เพราะหนี้เก่ายังไม่ใช้ หนี้ใหม่จะเข้ามาเพิ่มอีกจนกลายเป็นดินพอกหางหมู

เพียงแต่รัฐบาลจะกล้าเอาเงินงบประมาณที่อุตส่าห์รื้อมาถมลงไปหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม

ไม่เช่นนั้นก็มีโอกาสใช้วิธีแปะโป้งอีกคำรบแน่

ที่สำคัญ การที่รัฐบาลมาไล่ซื้อข้าวเปลือกในราคาที่แพงลิ่ว จะยิ่งทำให้ข้าวสารที่ขายให้กับประชาชนในประเทศแพงไปด้วย

ผลสรุป คือ โครงการรับจำนำอาจทำให้คนไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวอันดับต้นๆ ของโลก ต้องซื้อข้าวกินในราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็น

นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับปัญหาพ่อค้าที่ออกมากว้านซื้อข้าวกักตุนสินค้าทำให้ข้าวขาดตลาด เพราะรอเก็บข้าวไว้ขายในโครงการรับจำนำของรัฐบาลที่จะเปิดนำร่องมาและเกิดการสวมสิทธิกันถล่มทลายในอนาคตอันใกล้นี้แน่

อีกประเด็นหนึ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนไม่แพ้กัน คือ ธ.ก.ส.จะต้องปรับตัวครั้งใหญ่มโหฬาร เพื่อรองรับกับการขึ้นทะเบียนร้านค้าทั่วประเทศ ที่ต้องการเป็นเครือข่ายในการขายปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและถือบัตรเครดิตเกษตรกร

เพราะลำพังบัตรเครดิตอย่างเดียวนั้นไม่สามารถทำให้โครงการนี้สัมฤทธิผล ธ.ก.ส.จะต้องเปิดรับสมัครเครือข่ายร้านค้าที่เปิดรับบัตรเครดิตเกษตรกรในการซื้อสินค้าจากเกษตรกรทั่วประเทศ ทั่วทุกตำบล ทั่วทุกอำเภอ ทั่วทุกจังหวัด และต้องมีจำนวนมากพอที่จะอำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกรที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปรูดซื้อสินค้าได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ไร้ความหมาย

ดังนั้น โครงการบัตรเครดิตเกษตรกรที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ธ.ก.ส.ต้องลงทุนเครื่องรับบัตร ระบบข้อมูลเพื่อทำระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการชำระเงิน หรือ Payment Systems อีกมหาศาล

เพราะยอดการเข้าไปซื้อสินค้า วัสดุทางการเกษตร และสินค้าอุปโภคจะมหาศาล จำเป็นต้องอาศัยระบบการสั่งจ่ายที่รวดเร็วเป็นระบบ รูดต้องปรื๊ด ถ้าเกษตรกรถือบัตรที่รัฐออกให้ไปรูดแล้วไม่ปรื๊ดก็เจ๊งทันที

เพราะคนเหล่านี้ไม่คุ้นเคยกับการถือบัตร แต่นิยมเงินสด ถ้าบัตรเครดิตเกษตรกรไม่ขลังแล้วไซร้ บัตรชาวนานก็ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง

ภายใต้ระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่ต้องมาลงทุนเพื่อรองรับการให้บริการบัตรเครดิตเกษตรกรที่คาดว่าน่าจะมีไม่น้อยกว่า 34 ล้านใบ ที่ ธ.ก.ส.จะเป็นผู้เปิดวงเงินโอดีให้กับเกษตรกร

ฟันธงไปได้เลยว่า การรับจำนำข้าวนาปีของฤดูกาลผลิตนี้ น่าจะมั่วและไม่สามารถรับจำนำข้าวจากมือเกษตรกรได้อย่างที่ตั้งความหวังไว้

เพราะขณะนี้ชาวนาส่วนใหญ่ได้เริ่มปลูกข้าวไปแล้ว ด้านโรงสีเองก็แห่ตุนข้าวไว้ในสต๊อกมากมายในราคาต่ำ เพื่อรอขายฟันกำไรจากรัฐบาลเพื่อไทยใจกล้า

ขณะที่โครงการบัตรเครดิตเกษตรกรถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตั้งไข่ ยังไม่มีการประกวดราคา ยังไม่มีการจัดซื้อเครื่องไม้เครื่องมือ ยังไม่รู้ว่าหน้าตาบริษัทที่จะเข้ามาทำโครงการนี้ว่าเป็นใคร

ธ.ก.ส.และ รมว.คลัง คนใหม่จึงยังมีการบ้านก้อนใหญ่ ในการลุยพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อรองรับในเรื่องนี้ต่อ

ถ้า ธ.ก.ส.วางระบบไม่สำเร็จ เท่ากับโครงการบัตรเครดิตเกษตรกรล้มเหลวและอาจจะรวนไปถึงโครงการรับจำนำข้าว

กลายเป็นว่า ธ.ก.ส.ต้องแบกรับทุกประตู รวมถึงเรื่องหนี้เก่าที่รัฐบาลแปะโป้งไว้ นี่ยังไม่รวมหนี้ใหม่ที่คาดว่าน่าจะมีกองมหึมามากกว่าเดิม

เหนื่อยจนหายใจไม่ทัน...