"อภิสิทธิ์"ยื่นศาลตีความคำสั่งคสช.ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญผ่านสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้วินิจฉัยคำสั่ง คสช. ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญผ่านสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้วินิจฉัยคำสั่ง คสช. ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
เมื่อวันที่ 23 ม.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญผ่านสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้วินิจฉัยคำสั่ง คสช. ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยคำร้องอ้างว่าคำสั่ง คสช. ดังกล่าวส่งผลเป็นการละเมิดสิทธิของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 2.5 ล้านคน เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติภายใต้เงื่อนเวลาที่กำหนด และความยุ่งยากทางธุรการ การจัดทำเอกสาร และเสียค่าใช้จ่ายราว 20 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ย้ำการยื่นไม่มุ่งสร้างปัญหาทางการเมือง แต่เป็นการใช้สิทธิ์เพื่อไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนไม่เป็นธรรม และป้องกันไม่ให้เกิดการใช้อำนาจขัดหลักนิติธรรม
นายอภิสิทธิ์ได้ยื่นคำร้องต่อนายรักเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเป็นคำร้องความยาว 17 หน้า
คำร้องดังกล่าวมีสาระสำคัญคือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ขัดเจตนารมณ์และกระบวนการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนไม่เป็นธรรมต่อประชาชนโดยไม่สมควรแก่เหตุ เป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้นายอภิสิทธ์ได้ยกเหตุผลประกอบคำร้องว่า คำสั่งดังกล่าวซึ่งออกตามอำนาจของมาตรา 44 ขงรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว โดยไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่า การใช้อำนาจดังกล่าว ต้องทำเพื่อการปฏิรูปประเทศ เพื่อการส่งเสริมความสามัคคี ความสมานฉันท์ และป้องกันการบ่นทำลายความสงบเรียบร้อยของชาติ นอกจากนี้ผลการออกคำสั่งดังกล่าว มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมาย ซึ่งขาดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
นายอภิสิทธิ์ย้ำด้วยว่า ผลจากคำสั่งดังกล่าว ยังทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างพรรคการเมืองเก่า กับพรรคการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ กล่าวคือพรรคการเมืองเก่า โดยเฉพาะพรรคที่มีสมาชิกมากกว่า 2.5 ล้านคนอย่างพรรคประชาธิปัตย์ จะต้องประสพปัญหาด้านการปฏิบัติ เนื่องจากเงื่อนเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่นให้หัวหน้าพรรคเป็นผู้เดียวที่พิจารณาการยืนยันคุณสมบัติของสมาชิกพรรค การให้สมาชิกพรรคต้องยืนยันการไม่มีข้อห้ามตามกฎหมายซึ่งมีอยู่ 19 ประการ ที่ต้องไปขอคำรับรองจาก 19 หน่วยงาน อาทิ การไม่เป็นผู้ล้มละลาย การไม่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้จำคุก ฯลฯ และยังกำหนดว่าการส่งเป็นเอกสารไม่สามารถส่งทางอิเลคโทรนิกได้ หากทำไม่ได้ภายใน 30 วันก็ต้องพ้นจากความเป็นสมาชิกพรรค จึงเป็นการสร้างความลำบากและลิดรอนสิทธิของประชาชน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังได้อ้างถึงเอกสารแนบ ซึ่งเป็นข่าวการตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา เป็นนายกฯ ว่าอาจตีเจตนาได้ว่าการออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการเอื้อกุล่มการเมืองที่จะตั้งพรรคใหม่ เพราะสิ่งที่ คสช. อ้างในคำสั่ง ทั้งกรณีปัญหาสมาชิกซ้ำซ้อน เพื่อให้ได้สมาชิกที่มีเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน และเปิดโอกาสให้สมาชิกได้ทบทวนอุดมการณ์ของพรรค ล้วนไม่เป็นความจริง เนื่องจากนายทะเบียนพรรคการเมืองได้จัดระบบรายชื่อสมาชิกพรรคไม่ซ้ำซ้อนตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ไปแล้ว ผู้เป็นสมาชิกพรรคพรรคประชาธิปัตย์ก็มีการลงนาม กรอกใบสมัครด้วยตนเองเป็นการแสดงเจตจำนงร่วมกันแต่แรก ส่วนที่อ้างว่าทบทวนอุดมการณ์ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะโดยคำสั่งของ คสช. พรรคการเมืองไม่สามารถประชุมพรรค จึงไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์หรือนโยบายพรรคแต่อย่างใด
"การดำเนินการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินครั้งนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างปัญหาทางการเมืองแก่ผู้ออกคำสั่งแต่อย่างใด แต่เป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของสมาชิกพรรคการเมืองทุกพรรคที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ ทั้งยังป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจขัดกับหลักนิติธรรมอีกต่อไป"เนื้อหาในคำร้องระบุ