"อุเทน" ห่วงผลคดีจำนำข้าวจุดชนวนขัดแย้ง
"อุเทน"ห่วงผลคดีจำนำข้าวจุดชนวนความขัดแย้ง ชี้ คสช.ไม่ใช้อำนาจที่มีสางปัญหา จนบานปลาย แนะบิ๊กตู่ทบทวนการใช้อำนาจให้การแก้ปัญหาเห็นผล ก่อนสายเกินไป
"อุเทน"ห่วงผลคดีจำนำข้าวจุดชนวนความขัดแย้ง ชี้ คสช.ไม่ใช้อำนาจที่มีสางปัญหา จนบานปลาย แนะบิ๊กตู่ทบทวนการใช้อำนาจให้การแก้ปัญหาเห็นผล ก่อนสายเกินไป
เมื่อวันที่ 23 ก.ค. นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวบรรยากาศที่มีประชาชนจำนวนมากไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หน้าศาลฎีกา ศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะ ในระหว่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางมาเข้ารับฟังการไต่สวนพยานจำเลยในคดีปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนัดสุดท้าย เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า เชื่อว่าในวันที่ 1 ส.ค. ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะไปแถลงปิดคดีด้วยวาจา หรือในวันที่ 25 ส.ค. ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาของคดีจำนำข้าว จะมีกองเชียร์ไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์มากเป็นพิเศษ จึงน่าเป็นห่วงในเรื่องการดูแลสถานการณ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อยของรัฐบาล
นายอุเทนกล่าวว่า ไม่ว่าผลของคดีจะเป็นไปในทิศทางใด ย่อมจะมีคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะในประเด็นของโครงการรับจำนำข้าว ที่มีความเห็นที่แตกต่างในสังคมมาตลอด ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ คสช.ใช้อ้างเมื่อครั้งเข้ามายึดอำนาจการปกครอง ทั้งในเรื่องการทุจริต และความแตกแยกในสังคม แต่ คสช.ที่มีอำนาจและเวลาล้นเหลือ กลับปล่อยให้เลยเถิดบานปลายมาถึงปัจจุบัน ทั้งที่สังคมและ คสช.เองก็มีข้อมูลรับรู้อยู่ว่าใครบ้างที่กระทำผิด หรือใครทุจริต หากกล้าหาญและใช้อำนาจทำให้เรื่องจบไปตั้งแต่ต้น คงไม่เป็นเช่นนี้ ที่มีหลายฝ่ายมองว่า คสช.จ้องที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้าม หรือพูดให้ชัดคือ กลุ่มของพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง แต่ฝ่ายเดียว ทำให้ตอนนี้จากกระแสที่เคยสนับสนุน คสช.เข้ามาสะสางปัญหาบ้านเมือง กลายเป็นกระแสตีกลับที่เห็นใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์และคนในเครือข่าย ที่ถูกกระทำจากระบวนการที่มองว่าไม่เป็นธรรม
"ตลอด 3 ปีกว่าที่ผ่านมาของ คสช.ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในเรื่องการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม ตลอดจนการไม่กล้าใช้อำนาจที่มีทำให้ความขัดแย้ง แตกแยกทางความคิดลดลงแต่อย่างใด ซ้ำร้ายยังยิ่งลุกลามบานปลายอีกด้วย ทั้งที่ คสช.ควรจะใช้อำนาจที่มี จัดการทำให้เรื่องต่างๆจบลงได้ง่ายโดยเร็ว"นายอุเทน กล่าว
นายอุเทน กล่าวด้วยว่า ไม่เพียงแต่ความแตกแยกในสังคมเท่านั้น ในประเด็นการปราบปรามการทุจริตก็ยังไม่มีความคืบหน้า หรือผลสัมฤทธิ์ใดๆให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นคดีของรัฐบาลเก่า ทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และย้อนไปถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก่อนหน้านั้น ที่สำคัญในรัฐบาล คสช.เองก็มีข้อมูลการทุจริตหาประโยชน์ในทางไม่ชอบของรัฐบาลออกมาไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ คสช.ก็ใช้อำนาจในมือเพียงแค่การตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆมากมาย ที่ไม่มีผลงานใดๆเป็นรูปธรรมออกมา อีกทั้งหน่วยงานตรวจสอบในระบบ ทั้ง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจิตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ทำหน้าที่ในลักษณะเกรงใจผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ไม่มีตรวจสอบโครงการใดของรัฐบาลชุดนี้อย่างจริงจัง และอีกหลายโครงการก็มีผลการตรวจสอบออกมาในลักษณะค้านสายตาประชาชนเป็นอย่างมาก ผลที่ได้จากการที่ คสช.เข้ามาจัดเรื่องความขัดแย้งในสังคม และการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง จึงมีเพียงการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากและเกินความจำเป็น สำหรับการทำงานของคณะกรรมการชุดต่างๆที่ตั้งขึ้นมาใหม่ชุดแล้วชุดเล่าเท่านั้น ซึ่งก็เข้าข่ายการคอร์รัปชั่นโดยทางอ้อม เนื่องจากเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินโดยไร้ประสิทธิภาพ
"เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.จำเป็นต้องไตร่ตรองการใช้อำนาจในการบริหารของตนเองและของ คสช.โดยด่วน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ ทั้งในเรื่องการปราบโกง หรือการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง หากปล่อยโดยไม่ทำอะไรเช่นนี้แล้ว เมื่อมีการเลือกตั้งขึ้น ผมก็กล้าทำนายได้เลยว่ารัฐบาลชุดหน้าจะไม่มีคนใน คสช.เข้ามามีส่วนร่วม หรือนายกฯคนต่อไปจะไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างที่เคยคาดการณ์"นายอุเทน ระบุ