กมธ.ต้านกลุ่มทุนใช้พื้นที่ป่าอนุรักษ์
กมธ. สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สปท. ต้านกลุ่มทุนใช้พื้นที่ป่าอนุรักษ์ ย้ำยึดตามคำสั่งคสช.
กมธ. สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สปท. ต้านกลุ่มทุนใช้พื้นที่ป่าอนุรักษ์ ย้ำยึดตามคำสั่งคสช.
วันที่ 31 ม.ค. นายขวัญชัย ดวงสถาพร โฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมสปท. เมื่อวันที่ 30 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้ผ่านความเห็นชอบรายงานที่เสนอโดยกมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสิ่งแวดล้อม เรื่องการจัดการระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้และการเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศ มาตรการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ร่างพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ... และร่างพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ... ว่า กมธ.ได้พิจารณาเรื่องนี้มาอย่างครบถ้วนรอบด้าน โดยใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน
นอกจากนี้ ยังได้มีการศึกษาฐานข้อมูลข้อเท็จจริงสภาพความเป็นจริงและความเป็นไปได้ ซึ่งทราบกันดีว่าทรัพยากรป่าไม้ปัจจุบันอยู่ในสถานการณ์วิกฤต โดย 40 ปี ที่ผ่านมาจำนวนป่าได้ลดลงถึง 36 ล้านไร่ ขณะเดียวกันพื้นที่แกนกลางของประเทศซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ รวมถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและวนอุทยาน กลับมีการบุกรุกครอบครองประมาณ 6 ล้านไร่ ซึ่งกมธ.ตระหนักเสมอว่าพื้นที่เหล่านี้ควรจะเป็นแหล่งอนุรักษ์ที่สำคัญของประเทศ
สำหรับมาตรการนี้จะไม่อนุญาตให้บุคคล ดังนี้ สามารถใช้ที่ดินป่าอนุรักษ์ได้โดยเด็ดขาด คือ ผู้บุกรุกครอบครองที่ดินที่เป็นนายทุน หรือผู้บุกรุกรายใหญ่ ไม่ว่าจะบุกรุกในช่วงปีใดก็ตาม รวมทั้งราษฎรที่บุกรุกที่ดินใหม่ภายหลังคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คำสั่งที่ 66/2557 ที่ออกเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2557
อย่างไรก็ตาม ยังมีพื้นที่เพียงบางส่วนเท่านั้นที่จะสามารถใช้ประโยชน์ได้ แต่จะต้องพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรอบครอบและครบถ้วน และที่สำคัญพื้นที่ป่านั้นไม่ใช่ของผู้ใดผู้หนึ่ง หากแต่เป็นป่าของคนทั้งประเทศ ฉะนั้นทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมที่จะใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งมาตรการที่กล่าวมาจะช่วยรักษาผลประโยชน์ของป่าให้คงอยู่ไว้อย่างสมบูรณ์ นายขวัญชัยกล่าว
ด้านนายดำรงค์ พิเดช อนุกมธ. กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สื่อมวลชนตื่นตัวที่จะปกป้องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อของชาติ โดยเฉพาะป่าต้นน้ำไผ่แดงที่มีพื้นที่ 73 ล้านไร่ ทั้งนี้ ยังมีการเข้าใจผิดที่ปล่อยกระแสออกไปว่าเปิดโอกาสให้นายทุนเข้ามายึดครอง โดยเฉพาะมาตรา 46 และมาตรา 52 ส่วนตัวจะไม่ยินยอมให้นำทรัพย์สินของชาติไปให้นายทุนทั้งสิ้น
“ผมได้ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจะเพิ่มอำนาจให้อธิบดีอย่างเช่น มาตรา 46 ว่าด้วยเรื่องการริบทรัพย์หรือของกลางต่างๆ ซึ่งแต่ก่อนจะต้องผ่านศาลต่างๆซึ่งเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยาก ยกตัวอย่างเช่นการสร้างอาคารในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ซึ่งไม่สามารถทำได้อยู่แล้วในเชิงพาณิชย์ แต่ในทางตรงข้ามกันอธิบดีมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างศูนย์อบรมที่มีประโยชน์ต่อราชการสามารถให้อธิบดีทำได้ แต่จะให้อำนาจกลุ่มทุนสร้างรีสอร์ทไม่ได้”นายดำรงค์ กล่าว


