logo-pwa

เพิ่ม Post Today

ลงในหน้าจอหลักของคุณ

ติดตั้ง
ปิด

สภาอุตสาหกรรมฯยุค 'พยุงศักดิ์' 60 กรรมการ เชื่อม 6 ยุทธศาสตร์

01 พฤษภาคม 2553

....ชนิกา สุขสมจิตร

เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ต้อนรับประธาน ส.อ.ท. คนใหม่ หลังผ่านศึกการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันรุนแรงมากกว่าที่เคยมีมาก่อน เรียกว่าแข่งขันต่อสู้ทั้งศึกในและศึกนอก จนถึงขั้นฟ้องร้องถึงศาลปกครอง แต่ผลการลงมติของสมาชิก ส.อ.ท. ทั่วประเทศกว่า 6,000 คน ได้ไว้ใจให้ พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผลนั่งตำแหน่งประธาน ส.อ.ท.คนใหม่ แทนนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ที่หมดวาระลง

โอกาสนี้โพสต์ทูเดย์ได้เปิดใจประธานคนใหม่ ถึงประเด็นที่ต้องการความชัดเจนมากในอันดับแรกก็คือ จะทำอย่างไรให้ ส.อ.ท.กลับมาเป็นองค์กรที่มีความเป็นเอกภาพ ปลดล็อกความขัดแย้งภายในที่เกิดขึ้น

พยุงศักดิ์ ชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่า แม้การเลือกตั้งจะออกมาในมุมของความขัดแย้ง แต่ท้ายสุดแล้วทุกคนก็สามารถพูดคุยกันได้ เพราะอยู่ในวงการธุรกิจด้วยกัน โดยนโยบายการบริหาร ส.อ.ท. ของตนได้จัดทีมการบริหารในเชิงรุก และทำให้การทำงานมีความกระชับมากขึ้น เจาะลึกใกล้ชิดกับกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารทั้งหมด 60 คน แยกตามรายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ มีแนวคิดที่จะให้สมาชิก ส.อ.ท.รู้จักกันมากขึ้น จากนี้ไปจะลงพื้นที่พบปะกับสมาชิกในแต่ละภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีแล้ว ยังได้รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของแต่ละคน เพื่อนำไปสะท้อนปัญหาให้กับภาครัฐ โดยเฉพาะในเวทีของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า คณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ซึ่งมีถึง 60 คน กลับไม่มีรายชื่อของกรรมการคนเก่านั้น ขอชี้แจงว่า ต้องการได้คนที่เหมาะสมและทำงานร่วมกันได้ แต่ยืนยันไม่ได้มีความขัดแย้งกัน

สำหรับพันธกิจหลักในการทำงานระยะ 2 ปี จากนี้ไปจะส่งเสริมภาคการผลิตด้วยการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตและการรวมตัวกันในลักษณะคลัสเตอร์ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันได้ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย ความรับผิดชอบต่อสังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการพัฒนาไปสู่เมืองอุตสาหกรรมนิเวศ

ขณะเดียวกัน จะเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ 6 ด้าน คือ 1.พัฒนาอุตสาหกรรมไทยในแนวทางการสร้างมูลค่าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม 2.การพัฒนาอุตสาหกรรมให้อยู่ร่วมกับสังคมอย่างยั่งยืน 3.การพัฒนาการดำเนินธุรกิจในรูปแบบคลัสเตอร์และซัพพลายเชน 4.มาตรการเชิงรุกในเวทีโลกหลังเปิดเอฟทีเอ 5.การสนับสนุนปัจจัยเอื้อต่อการประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม และ 6.การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สู่ความยั่งยืนของอุตสาหกรรม

เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย 13 ด้านใหญ่ๆ คือ 1.การใช้ประโยชน์จากการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ในกรอบต่างๆ เพื่อขยายตลาดใหม่เพื่อการส่งออก 2.ผลักดันแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและชุมชนอย่างยั่งยืน เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (อีโค อินดัสตรี ทาวน์) ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย 3.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้สินค้าเกิดมูลค่าเพิ่ม

4.การดำเนินการธุรกิจในรูปแบบคลัสเตอร์และห่วงโซ่การผลิต 5.สนับสนุนการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม 6.เน้นความเป็นบรรษัทภิบาลในการดำเนินธุรกิจ 7.ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พลังงาน และน้ำ เพื่ออุตสาหกรรมและการเกษตร 8.ให้ความรู้เรื่องกฎหมายและภาษีกับสมาชิก 9.จัดหารายได้เพื่อเป็นทุนในการดำเนินงาน 10.พัฒนาบุคลากรของ ส.อ.ท. เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

11.ปรับระบบงานของ ส.อ.ท. ให้สอดคล้องกับภารกิจหลักให้มีความเด่นชัดมากขึ้น 12.สร้างความเชื่อมโยง ความร่วมมือของภาคอุตสาหกรรม และ 13.จัดทำฐานข้อมูลอุตสาหกรรมเพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ

สำหรับมุมมองในด้านเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ พยุงศักดิ์ มองว่า จากตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของ ส.อ.ท. ที่มีการรายงานทุกเดือน และมองทิศทางใน 3 เดือนข้างหน้า มีแนวโน้มลดลงต่ำกว่าปกติ เนื่องจากยังมีความกังวลในเรื่องปัจจัยการเมือง แต่ถ้ามองถึงกำลังซื้อในประเทศ ยังไม่กระทบมากนัก ยกเว้นปัญหาเรื่องต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าบ้างในระยะยาว

ทั้งนี้ ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังมีดีอยู่ ภาคอุตสาหกรรมมีความแข็งแกร่ง เพราะมีอุตสาหกรรมต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ มีสินค้าเกษตร เพราะไทยยังโชคดีที่มีพืชผลการเกษตรสมบูรณ์ ส่งผลให้สินค้าหมวดอาหารมีการเติบโตที่ดี ทั้งนี้เชื่อว่าในภาพรวมจีดีพีของประเทศยังดีกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากภาคการส่งออกมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์โตแบบก้าวกระโดด เห็นได้จากยอดการผลิตรถยนต์ ซึ่งตั้งเป้าหมายปีนี้จะมีกำลังการผลิตได้ถึง 1.5 ล้านคัน

สำหรับปัญหาโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ผ่านมามีกระบวนการปลดล็อกตามลำดับ ตั้งแต่การจัดทำหลักเกณฑ์รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และผลกระทบด้านสุขภาพ ตลอดจนการตั้งองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นความคืบหน้าจากการทำงานของคณะกรรมการ 4 ฝ่าย

ประกอบกับมีหลายโครงการที่ได้รับการผ่อนผันให้ดำเนินกิจการต่อไปได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้นักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจ และเชื่อว่าจะคลี่คลายได้ภายในปีนี้

ส่วนปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้น ทุกครั้งที่ไทยมีวิกฤตมักจะแก้ปัญหาได้เสมอ ยกเว้นมีเหตุรุนแรงคงต้องใช้เวลามากหน่อย ซึ่งผลกระทบจากการชุมนุมที่เกิดขึ้นรัฐบาลก็เร่งออกมาตรการช่วยเหลือไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม บทบาทของ ส.อ.ท.จากนี้ไปคงต้องร่วมกันทำงานให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ซึ่งจะประสานกับ ส.อ.ท.ในภูมิภาค ร่วมกันเดินหน้าไปสู่เป้าหมายพันธกิจที่ได้วางไว้