เทคโนโลยีเปลี่ยนวิถีท่องเที่ยว

โดย...อนัญญา มูลเพ็ญ

สำหรับคนทำงานออฟฟิศเป็นมนุษย์เงินเดือนในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ กิจกรรมพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์คงหนีไม่พ้นออกไปช็อปปิ้งตามแหล่งต่างๆ หรือไม่ก็ออกไปท่องเที่ยวในจังหวัดที่ไม่ไกลจากเมืองกรุงที่ให้ทั้งบรรยากาศที่กินที่เที่ยวแปลกใหม่แล้ว ยังขับรถไม่ไกลให้เกินไป ซึ่งช่วงหยุดสุดสัปดาห์เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ผู้เขียนและเพื่อนๆ ก็มีโอกาสไปเที่ยวเมืองจันท์-จันทบุรี เมืองสุดแสนจะเลื่องชื่อทั้งเรื่องผลไม้และความเป็นมาทางประวัติศาสตร์  ซึ่งทริปรวมพลเพื่อนเก่าที่เกิดขึ้นปีละครั้งของพวกเราคราวนี้สรุปเลือกจันทบุรีด้วยปัจจัยดึงดูดคือ อาหารทะเลและทุเรียนเป็นสำคัญ

แต่ด้วยการตัดสินใจที่กระชั้นชิดไปสักหน่อยเลยทำให้ผิดแผนกันไปบ้าง เพราะที่พักที่เล็งไว้ว่าจะไปพักโฮมสเตย์แล้วกินบุฟเฟ่ต์ปูนั้นเป็นอันพับไป เพราะที่พักเต็มเกือบหมด เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูกาลผลไม้ ที่ใครๆ ก็แห่กันไประยอง เมืองจันท์ เพื่อกินผลไม้ ที่พักของพวกเราเลยไปจบที่หาดแหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ แต่การผิดแผนและต้องออกไปพักไกลจากตัวเมืองถึง 30 กว่ากิโลเมตร และเป็นการเที่ยวที่ไร้ซึ่งการวางแผนใดๆ กลับนำพาพวกเราไปพบกับอะไรที่สนุกและการค้นพบที่น่าสนใจมากทีเดียว

เพราะความต่างคนต่างมีภารกิจเรื่องงานจึงไม่มีใครในกลุ่มมีเวลาทำแผนการเที่ยวครั้งนี้ ทุกคนรู้แต่เพียงว่าจะไปเที่ยวจันทบุรีเพื่อกินปูกับทุเรียนเท่านั้นโดยที่ไม่มีใครสักคนในคณะ 5 สาวเป็นคนท้องถิ่น ไม่มีใครเคยขับรถไปถึงจันทบุรี การเที่ยวไร้แผนของพวกเราครั้งนี้จึงต้องยึด Google Map เป็นสรณะ  สำหรับคนเมืองหลายคนที่ใช้ชีวิตแบบพึ่ง Google Map อยู่เป็นประจำอาจไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร แต่สำหรับเราที่ชีวิตไม่ได้ไฮเทคมากนัก พวกเราก็ค้นพบว่าเทคโนโลยีทำให้ชีวิตง่ายขึ้นจริงๆ

ทริปนี้ Google Map พาพวกเราไปทุกที่ที่ต้องการ ตั้งแต่การเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปจนถึงจันทบุรี รวมถึงการหาร้านอาหารขึ้นชื่อของจังหวัด เพียงแต่เปิด Google แล้วหา รีวิวก็ขึ้นเพียบ ส่วนทางไปก็ให้ Google Map นำพาไปถึงที่หมายได้ทานอาหารอร่อยๆ สมกับมีคนรีวิวมากมายติดให้ 5 ดาว

พอทานข้าวเสร็จก็คือโปรแกรมการเดินเที่ยว ซึ่งก็เพราะความไม่ได้วางแผนทำการบ้าน ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องไปเที่ยวที่ไหนดี ก็สามารถเสิร์ชหาสถานที่สำคัญและให้ Google Map นำทางไป คำนวณให้เรียบร้อยหากขับรถไปใช้เวลาเท่าไร หากเดินไปใช้เวลาแค่ไหน  ซึ่งครั้งนี้ฐานข้อมูลท่องเที่ยวแนะนำให้พวกเราไปเดินเล่นชุมชนริมน้ำจันทบูร และโบสถ์ 100 ปี ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์นิยายคาทอลิก

ณ ชุมชนริมน้ำจันทบูร ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์จะมีคนมาขายของให้เราซื้อกินหรือเป็นที่ระลึกมากมายเหมือนกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ แต่เสน่ห์ของที่นี่คือการเป็นชุมชนเก่าแก่จริงๆ บ้านริมน้ำแต่ละหลังที่เรามองเห็นเป็นสิ่งเก่าที่มีมาแต่อดีต มีเพียงการปรับตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อยให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งการปรับของเขามันดูเข้าที่เข้าทาง เป็นโครงสร้างที่รองรับไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวได้ลงตัวเพราะได้สมาคมสถาปนิกสยามเข้ามาช่วยเหลือ ระหว่างทางเดินกว่าจะถึงโบสถ์ 100 ปี มีที่ให้แวะถ่ายรูป แวะชิมเยอะมาก โดยเฉพาะอาหารที่เป็นแนวท้องถิ่น มีจุดจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชุมชน และเมืองจันทบุรีด้วย

หลังเดินเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ในตัวเมืองหนำใจ ในการเดินทางไปที่พักที่หาดแหลมสิงห์ ซึ่งห่างจากตัวเมือง 30 กว่ากิโลเมตรนั้น ก็พึ่งเทคโนโลยีพาไปถึงที่หมายโดยไม่หลงทาง ตกเย็นก็พึ่งเทคโนโลยีเสิร์ชหาร้านซีฟู้ดอร่อยๆ ทาน ซึ่งพวกเราก็เจอร้านที่มีคนรีวิวไว้ที่ถูกอกถูกใจกันมากๆ เพราะเป็นร้านที่คนท้องถิ่นแถวนั้นทำเอง ร้านไม่หรู แต่รสเด็ดราคาไม่แพง ถึงตรงนี้อาจมีคนสงสัยอยากรู้ว่าร้านนั้นคือร้านอะไร ผู้เขียนสารภาพว่าเพราะเทคโนโลยีพาไปผู้เขียนก็ไม่จำชื่อร้านซะอย่างนั้น 

พอถึงเวลากลับ Google Map ก็นำทางพวกเราออกมาถนนที่สวยมากๆ สายหนึ่ง คือ  “ถนนเฉลิมบูรพาชลทิศ” ซึ่งเป็นทางหลวงชนบท 2 เลน ระยะทางรวมกันประมาณ 100 กิโลเมตร เป็นถนนเลาะชายฝั่งทะเลตั้งแต่ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี ไปจนถึงตราด พวกเราออกจากที่พักแถวหาดแหลมสิงห์ ผ่านคุกขี้ไก่ ขึ้นสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (สะพานแหลมสิงห์) ข้ามปากแม่น้ำจันทบุรี ผ่านหาดคุ้งวิมาน จุดชมวิวเนินนางพญา ขึ้นสะพานประแสสิน ข้ามปากน้ำประแส เรียกว่าตลอดทางมีจุดชมวิวตลอด วิวเลียบทะเล บางจุดวิวสวยภูเก็ตเลย คือซ้ายมือเป็นทะเล ขวามือเป็นภูเขา เพียงแต่สีของทะเลช่วงนี้ไม่สวยเพราะมีฝนตก แม้สีทะเลอาจจะไม่สวยเท่าอันดามันก็ตามเถอะ แต่สำหรับที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ เท่านี้ก็ถือว่าเยี่ยมทีเดียว

แน่นอนว่าพี่ Google Map ก็พาพวกเรากลับมาถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ เป็นทริปไร้การวางแผนที่สนุกมากทริปหนึ่ง คุณเองหากยังไม่เคยพึ่งเทคโนโลยีพาเที่ยว แนะนำให้ลองค่ะ แล้วจะพบว่า มันก็สนุกดีนะ...ขอให้โชคดีสนุกกับการท่องเที่ยววิถีใหม่นะคะ