posttoday

หน้าตารัฐบาลชุดใหม่ มีผลกับเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2562

27 มิถุนายน 2562

บิ๊กสหพัฒน์ฯ รอโฉมหน้าคณะรัฐมนตรี ควรมีความชัดเจนอย่างช้าในเดือนกรกฎาคมนี้ จี้ดูแลค่าเงินบาทหวั่นกระทบกำลังซื้อรากหญ้า

บิ๊กสหพัฒน์ รอโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีควรชัดเจนอย่างช้าในเดือนกรกฎาคมนี้ จี้รัฐดูแลค่าเงินบาทหวั่นกำไรภาคการส่งออกลดกระทบกำลังซื้อรากหญ้า

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดงาน "สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 23" ว่าเศรษฐกิจของไทย ในช่วงหลังครึ่งปี 2562 นี้ จะมีทิศทางเป็นอย่างไรนั้นยังต้องดูโฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่ว่ามีหน้าตาเป็นเช่นไรก่อน ส่วนผู้ที่จะเข้ามาเป็นคณะรัฐมนตรีควรมีความสามารถในแต่ละด้านนั้นๆ ซึ่งมองว่าการจัดตั้งคณะรัฐบาลควรเห็นภาพชัดเจนในเดือนกรกฎาคมนี้ 

"สมัยก่อนเลือกตั้งเสร็จก็เห็นรัฐบาลแล้ว แต่ตอนนี้ผ่านมา 2-3 เดือนแล้วก็ยังไม่รู้ หากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ก็ยังโอเค เพราะการลงทุนจากต่างประเทศมองว่ารัฐบาลจะเป็นอย่างไร" นายบุณยสิทธิ์ กล่าว

ปัจจุบัน นักลงทุนจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น จีน ยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุน โดยมองว่าไทยยังมีโอกาสอยู่ โดยเฉพาะโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) ที่นักลทุนมองว่ามีความน่าสนใจ เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานสะอาด หรือรถยนต์ไร้มลพิษ เป็นต้น ซึ่งไทยยังเป็นประเทศที่น่าสนใจในสายตาของพันธมิตร จากก่อนหน้าที่ต่างชาติมองว่าเมียนมา มีความน่าสนใจเมื่อเปิดประเทศแล้ว แต่เมื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกพบว่ายังมีหลายปัจจัยที่น่ากังวลสำหรับชาวต่างชาติ

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทย ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มองว่ากำลังซื้อรากหญ้ายังมีความน่าเป็นห่วง โดยรัฐบาลควรเร่งเข้ามาดูแลค่าเงินบาท ไม่ให้แข็งค่ามากขึ้นไปกว่านี้ (ปัจจุบันอยู่ที่ 30.7บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเห็นว่าค่าเงินบาทอัตราที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจประเทศ ควรอยู่ที่ประมาณ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้

"เงินบาทไทยที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมามีผลกับภาคการส่งออกของประเทศจากมาร์จินที่ลดลง ซึ่งหากค่าเงินยังค่าแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่เข้ามาดูแล อาจทำให้รายได้ที่กลับเข้ามาประเทศลดลง ไม่เกิดการสะพัดทางการเงิน ส่งผลให้ภาคการเกษตร หรือกำลังซื้อระดับล่างลดลงได้ตามมา" นายบุณยสิทธิ์ กล่าว

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจกลุ่มสหพัฒน์ ในช่วงที่ผ่านมามีการปรับลดขนาดในกลุ่มธุรกิจเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย โดยหันไปพัฒนาและยกระดับสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าชุดยูนิฟอร์มให้ตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญด้านการลงทุนในภาคบริการ ด้านการศึกษา การขนส่งและกระจายสินค้า(โลจิสติกส์)

ขณะที่ ในรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้ที่ผ่านมา สินค้าอาหารในกลุ่มสหพัฒน์ มีอัตราการเติบโตสูง โดยเฉพาะสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า จากการพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมใหม่ออกมา และแซงกลุ่มสินค้าเครื่องแต่งกายแฟชั่น มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 2 ปีก่อน รวมถึงในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ก็ยังมีอัตราเติบโตดี

สำหรับในภาคธุรกิจการส่งออกของสหกรุ๊ปในปีนี้ คาดว่าจะลดลงประมาณ 20% จากเดิมมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 30-35% โดยในปีนี้ สหกรุ๊ป คาดมีอัตราการเติบโต 2.5-3 % ปรับจากเป้าเดิมที่วางไว้เติบโต 5% โดยในปี 2561 มีรายได้ประมาณ 3 แสนล้านบาท