posttoday

แสนสิริผุดสิริเฮ้าส์โปรเจกต์แฟล็กชิปใจกลางกรุงต่อจากสิงคโปร์

25 มีนาคม 2562

แสนสิริ เดินหน้าสร้างแบรนด์ผ่านแพลตฟอร์มใหม่ สิริ เฮ้าส์ หวังครองอันดับหนึ่งแบรนด์ในใจผู้บริโภคไทยและต่างชาติปี 2563

แสนสิริ เดินหน้าสร้างแบรนด์ผ่านแพลตฟอร์มใหม่ สิริ เฮ้าส์ หวังครองอันดับหนึ่งแบรนด์ในใจผู้บริโภคไทยและต่างชาติปี 2563

นายนพปฎล พหลโยธิน ประธานผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ บริษัท แสนสิริ เปิดเผยว่า ล่าสุดได้เปิดตัว สิริ เฮ้าส์ (SIRI HOUSE) ไลฟ์สไตล์คอมมิวนิตี้สเปซ โปรเจกต์แฟล็กชิปแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ หลังจากเปิดตัวสิริ เฮ้าส์ ที่สิงคโปร์เป็นแห่งแรกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ทั้งในประเทศและในตลาดต่างประเทศให้สามารถครองใจลูกค้าต่างชาติได้ในทุกเซ็กเมนต์

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าครองอันดับหนึ่งแบรนด์ในใจผู้บริโภคไทยและต่างชาติในปี 2563 และมั่นใจว่า สิริ เฮ้าส์ ทั้งสองแห่งจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยผลักดันให้เป้ายอดขายรวมแตะ 1.6 แสนล้านบาท ภายใน 3 ปี (2561-2564) ตามแผนงานที่วางไว้

สำหรับ สิริ เฮ้าส์ ในประเทศไทย ตั้งอยู่ในซอยสมคิด ถนนเพลินจิต ใช้งบลงทุนมูลค่า 40 ล้านบาท ในการปรับปรุงบ้านเก่าอายุกว่า 50 ปี และสร้างเพิ่มบางส่วน โดยโปรเจกต์นี้เกิดจากความตั้งใจให้แบรนด์แสนสิริเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นมิติใหม่ในการสร้างแบรนด์ที่คุ้มค่าและยืนยาว ขณะเดียวกันสามารถรายได้รีเทิร์นกลับมา

นอกจากนี้ ยังได้คัดสรรไลฟ์สไตล์ชั้นนำมารวมไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นอาหารเลิศรส ร้านค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ร้าน LUKA QUINCE JACQUELINE เป็นต้น พร้อมพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะตลอดจนกิจกรรมที่น่าสนใจหมุนเวียนตลอดทั้งปี เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

"การสร้างพื้นที่ที่ต้อนรับผู้คนจากทุกไลฟ์สไตล์ในรูปแบบที่เข้าถึงง่ายเป็นกันเอง กิจกรรมที่น่าสนใจ จะนำไปสู่การถ่ายทอดเอกลักษณ์และสไตล์ของแสนสิริจนเกิดเป็นแบรนด์เลิฟ และส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้านและคอนโดในที่สุด" นายนพปฎล กล่าว

สำหรับการสร้างแบรนด์ถือเป็นเรื่อง สำคัญ เพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีการแข่งขันสูง ไม่ใช่แค่เรื่องของสินค้า โปรดักต์ ทำเล ราคาเท่านั้น แต่ต้องมีจุดยืนที่แตกต่าง โดยการสร้างแบรนด์เริ่มจะเห็นในแฟชั่นแบรนด์มากขึ้น ดังนั้นบริษัทจะเดินหน้าสร้างการรับรู้แบรนด์ในต่างประเทศและเพื่อต้องการขยายฐานลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะประเมินผลในอีก 6 เดือนข้างหน้าว่า กระแสตอบรับดีต่อเนื่องหรือไม่ ก่อนจะพิจารณาเปิดสาขาเพิ่มทั้งในต่างประเทศและในประเทศต่อไป โดยมองว่าทำเลที่คาดว่าจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย คือ เจริญกรุง และท่าเตียน ส่วนในต่างประเทศมองที่ฮ่องกงและจีน