posttoday

'มาลี'เพิ่มมูลค่าสินค้า ลุยพัฒนากลุ่มนวัตกรรมเจาะตลาดสุขภาพเน้นสร้างรายได้ยั่งยืน

28 มิถุนายน 2561

มาลีเดินหน้าปั้น มาลี แอพพลายด์ ไซเอ็นซ์ วิจัยและพัฒนานวัตกรรมสินค้าสุขภาพ นำร่อง วินติโค่ เจาะต่างประเทศ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 30 ล้าน

มาลีเดินหน้าปั้น มาลี แอพพลายด์ ไซเอ็นซ์ วิจัยและพัฒนานวัตกรรมสินค้าสุขภาพ นำร่อง วินติโค่ เจาะต่างประเทศ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 30 ล้าน

น.ส.รุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาลีกรุ๊ป เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน จึงได้มีการจัดตั้งบริษัท มาลี แอพพลายด์ ไซเอ็นซ์ (เอ็มเอเอส) เพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่รวมทั้งผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่สามารถดำเนินการสร้างเป็นรายได้ทันที

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการพัฒนาวัตถุดิบสำหรับผลิตอาหารเสริมและเครื่องสำอาง ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มรวมทั้งรายได้ มีผลกำไรที่มากกว่าในอนาคต โดยล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกคือ วินติโค่ น้ำส้มสายชูหมักจากน้ำมะพร้าวแท้ 100% เจาะตลาดคนรักสุขภาพ ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายในช่วงปลายไตรมาส 3 ปีนี้ โดยจะเน้นส่งออก 80% ทั้งในยุโรป อเมริกาและเอเชีย เช่น เยอรมนี สวีเดน ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน เป็นต้น

ขณะที่อีก 20% ที่เหลือจะจำหน่ายในประเทศไทย เบื้องต้นวางจำหน่ายที่ กูร์เมต์ มาร์เก็ตและจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ รวมทั้งมีแผนขยายสัดส่วนในกลุ่มร้านค้าปลีกสมัยใหม่และฟู้ดเซอร์วิสทั้งร้านอาหารและโรงแรมเพิ่มขึ้น โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2-3 หมื่นขวด/ปี

สำหรับเอ็มเอเอสจะมาเสริมทำให้มาลีกรุ๊ปแข็งแกร่ง เพราะฟู้ดอินโนเวชั่นจะเป็นการต่อยอดธุรกิจแมส โดยการเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร (High Value Added Products and Services : HVA) และยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้ซัพพลายเชนในด้านการจัดหาวัตถุดิบ รวมไปถึงเพื่อเพิ่มศักยภาพการรับมือกับการแข่งขันและช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะผลักดันให้มาลีก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก

ด้าน นายศุภเกียรติ คำบุทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาลี แอพพลายด์ ไซเอ็นซ์กล่าวว่า เอ็มเอเอสที่จะเป็น อาวุธลับด้านวิจัยและพัฒนาของมาลีกรุ๊ป โดยแต่ละปีตั้งเป้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ราว 3 รายการ โดยปีนี้มีแผนเปิดอีก 2 รายการในกลุ่มอาหารเสริมและขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 4 ปีนี้

อย่างไรก็ดี รายได้ของเอ็มเอเอสในระยะสั้นนั้นวางไว้ให้เท่ากับต้นทุนคือ 30 ล้านบาท หลังจากนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่วิจัยว่าจะนำมาต่อยอดได้อย่างไร

ทั้งนี้ เอ็มเอเอสมีพันธกิจเพื่อดำเนินการใน 4 คลัสเตอร์ คือ คลัสเตอร์ H เพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์จากความก้าวหน้าด้านชีววิทยาศาสตร์ เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น คลัสเตอร์ E เพื่อเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่มีของเหลือทิ้งเสริมความยั่งยืนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม

ขณะที่คลัสเตอร์ V คิดค้นพัฒนาวัสดุอัจฉริยะหรือวัสดุที่มีน้ำหนักเบาจากวัตถุดิบทางการเกษตรเพื่อเป็นวัสดุทางเลือก และคลัสเตอร์ I เพื่อสื่อสารและเชื่อมโยงอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ โดยจะจัดทำบิ๊ก ดาต้าเพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาโปรดักต์ตามความต้องการของผู้บริโภค และเตรียมดำเนินการในเรื่องของดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งปลายปีนี้