posttoday

โตชิบาเล็งบุกรับครึ่งปีหลังคึก

20 มิถุนายน 2561

โตชิบาเชื่อเศรษฐกิจฟื้น ประกาศนำสินค้าใหม่อีก 34 รุ่น ลุยตลาดครึ่งปีหลัง หวังดันรายได้สิ้นปีโต 20% สูงสุดในรอบ 5 ปี

โตชิบาเชื่อเศรษฐกิจฟื้น ประกาศนำสินค้าใหม่อีก 34 รุ่น ลุยตลาดครึ่งปีหลัง หวังดันรายได้สิ้นปีโต 20% สูงสุดในรอบ 5 ปี

นายไบรอัน จ้าว ประธานบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในครึ่งปีหลังนี้ มองว่าน่าจะขยายตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก และส่งผลให้ภาพรวมจีดีพีของไทยในสิ้นปีนี้ขยายตัวตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 4-5% ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวทำให้บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ประมาณ 34 รายการ เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกเปิดตัวไปแล้ว 32 รายการเข้ามาทำตลาด เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค

สำหรับสินค้าไฮไลต์ที่บริษัทคาดว่าจะเป็นแม่ทัพหลักในการสร้างรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คือ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านชิ้นเล็ก เนื่องจากสินค้าดังกล่าวมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูงในช่วงครึ่งปีแรก เช่น ตู้เย็นมีอัตราการเติบโตที่ 38% เครื่องซักผ้ามีอัตราการเติบโตที่ 37% เครื่องทำน้ำอุ่นเติบโตที่ 146% และไมโครเวฟมีอัตราการเติบโตที่ 189% เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะใช้งบ 12% ของรายได้รวม เพื่อทำการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังอย่างต่อเนื่อง เช่น ทำแคมเปญรับหน้าฝนในช่วงเดือน ก.ค. ทำแคมเปญฉลองวันเกิดในช่วงเดือน ส.ค. และทำแคมเปญรับปีใหม่ เป็นต้น ซึ่งหลังจากบริษัทออกมาทำการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปี 2561 นี้จะมีรายได้อยู่ที่ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2560 ที่มีรายได้อยู่ที่ 104 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3,500 ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา

"ภาพรวมยอดขายของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 เนื่องจากมีการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดมากถึง 32 รายการ ใน 8 หมวด ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรม ส่งเสริมการขาย" นายจ้าว กล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนของภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในปีนี้ คาดว่าจะมีการขยายตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ด้วยการมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 4-5% ใกล้เคียงกับจีดีพีของประเทศไทย หลังจากไตรมาสแรกที่ผ่านมาตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าเริ่มมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้นอยู่ที่ประมาณ 0.2% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 6.3 หมื่นล้านบาท