posttoday

โรงแรมขยับลงทุน โตผ่านสตาร์ทอัพ

19 มิถุนายน 2560

เป็นแค่ก้าวแรกของกลุ่มโรงแรมใหญ่ที่ไปลงทุนสตาร์ทอัพ หลังจากนี้คาดว่าจะมีกลุ่มอื่นทยอยลงทุนตามมาแน่นอน

โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

สตาร์ทอัพคือธุรกิจเกิดใหม่บนพื้นฐานเทคโนโลยีที่พัฒนา แม้ 90% ของสตาร์ทอัพไม่ประสบความสำเร็จ มีเพียง 10% ที่อยู่รอดได้ และเหลือแค่ 2-3% เท่านั้นที่จะสำเร็จเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อประสบความสำเร็จแล้วก็มีโอกาสทำลายล้างรูปแบบธุรกิจเดิมๆ ที่มีได้สูง จึงเริ่มเห็นองค์กรใหญ่ทั่วโลก รวมทั้งไทยขยับไปลงทุนในสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม

แพทริค บาสเซ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ แอคคอร์โฮเทล ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า แอคคอร์โฮเทลได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเปลี่ยนจากมีกลุ่มธุรกิจเดียวคือการลงทุนในโรงแรม เป็น 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.โฮเต็ลเซอร์วิส รับบริหารโรงแรม พัฒนาโรงแรม ดูแลระบบปฏิบัติการในโรงแรม 2.นิว บิซิเนส ดูแลธุรกิจใหม่ๆ ที่แอคคอร์โฮเทลไปซื้อกิจการเข้ามา และ 3.โฮเต็ล แอสเสท ดูแลโรงแรมที่จะเข้าไปร่วมลงทุนหรือเป็นเจ้าของเอง

สำหรับกลุ่มนิว บิซิเนส นั้นเป็นการไปซื้อกิจการสตาร์ทอัพเข้ามา เพราะมองว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะช่วยให้แอคคอร์โฮเทลมีบริการที่ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลอันดีกับการพัฒนาความชำนาญในการทำธุรกิจโรงแรมและพัฒนาระบบการจัดจำหน่ายให้ดีขึ้น

สตาร์ทอัพที่ไปลงทุน ได้แก่ ฟาสต์บุ๊กกิ้ง ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบสำรองห้องพักให้ดี ก้าวทันเทคโนโลยี ไตรมาสแรกธุรกิจฟาสต์บุ๊กกิ้งเติบโต 10.4% ซึ่งธุรกิจนี้เปิดโอกาสให้โรงแรมที่ไม่ได้อยู่ในเครือแอคคอร์โฮเทลมาใช้บริการได้ ทำให้กลุ่มนี้มีช่องทางการขายเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น พัฒนาเว็บไซต์และระบบการชำระเงินผ่านเว็บไซต์ให้เป็นระดับโลก บริการนี้ก็ขยายในไทย ซึ่งมีเครือโรงแรมไทยเริ่มมาใช้บริการแล้ว

ต่อมาคือกลุ่มกิจการบ้านพักหรู ได้แก่ สแควร์เบรก (Squarebreak) วันไฟน์สเตย์ (Onefinestay) โอเอซิส คอลเลกชั่น (Oasis Collections) และทราเวล คีย์ (Travel Keys) ซึ่งมีบ้านพักรวมกัน 1 หมื่นแห่ง รองรับทั้งตลาดท่องเที่ยววันหยุดและคนอาศัยในเมือง ไตรมาสแรกกลุ่มนี้ทำรายได้ 2 ล้านยูโร หรือ 75.6 ล้านบาท ธุรกิจนี้ทำให้แอคคอร์โฮเทลได้ก้าวเป็นส่วนหนึ่งของตลาดให้เช่าบ้านพัก ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโต ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แอคคอร์โฮเทลเป็นผู้นำธุรกิจโรงแรม อย่างไรก็ตามยังไม่ได้นำมาให้บริการในไทย

อีกธุรกิจคือ จอห์น ปอล (John Paul) ช่วยพัฒนาและส่งเสริมประสบการณ์การเข้าพักของลูกค้า ไตรมาสแรกทำรายได้ให้ 6 ล้านยูโร หรือ 226.9 ล้านบาท ซึ่งแอคคอร์โฮเทล มองว่าบริการนี้สามารถขยายไปเจาะกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้เข้าพักกับแอคคอร์โฮเทลให้มาใช้บริการด้วยได้ เช่น บริการซักรีด บริการสำรองห้องอาหาร

ขณะที่ ชนินทธ์ โทณวณิก รองประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า อยากเห็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมโรงแรม รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เป็นองค์กรใหญ่ที่ธุรกิจปัจจุบันเดินหน้าได้ดีอยู่แล้วเข้าร่วมสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพด้วย เนื่องจากมีคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่มีแนวคิดใหม่ที่จะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาแต่ขาดเงินทุน

หากองค์กรใหญ่เข้าไปช่วยสนับสนุนจะช่วยให้ธุรกิจไทยเดินหน้าได้เร็วขึ้น โดยขณะนี้ยังไม่เห็นกลุ่มโรงแรมไทยตื่นตัวลงทุนในสตาร์ทอัพมากนักเมื่อเทียบอุตสาหกรรมอื่น ดุสิตน่าจะเป็นกลุ่มแรกที่เริ่มไปลงทุนในสตาร์ทอัพ ผ่านการลงทุนในบริษัท เฟฟสเตย์ ที่นำเสนอบริการที่พักตากอากาศในหัวเมืองท่องเที่ยวของไทย โดยมาพร้อมบริการเสริมเต็มรูปแบบ และดุสิตก็คงไม่หยุดแค่เฟฟสเตย์

“การอยู่ในธุรกิจเดิมต่อไปเรื่อยๆ ก็คงอยู่ได้ แต่การไปลงทุนทำอะไรใหม่ๆ จะทำให้ได้เห็นวิธีการ ความคิดใหม่ที่อาจใช้ได้บ้าง ใช้ไม่ได้บ้าง ถ้าลงทุนไปแล้วทำออกไปได้ดีก็จะเป็นธุรกิจใหม่ที่ดีมากๆ โตได้เร็วกว่าธุรกิจแบบเดิม แต่ก็มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง โอกาสสำเร็จคงไม่ใช่ 100% หรือ 50% อาจต่ำกว่านั้น” ชนินทธ์ กล่าว

ศึกษิต สุวรรณดิษฐกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีวาน่า กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตและกระบี่ กล่าวว่า กำลังศึกษาการลงทุนในสตาร์ทอัพ โดยหากลงทุนก็คงไม่ได้ลงทุนในนามดีวาน่า กรุ๊ป แต่ลงทุนส่วนตัว โดยมองว่าการไปลงทุนในสตาร์ทอัพอยู่ที่จังหวะและโอกาส หากมีโอกาสเข้ามาในเวลาที่ถูกต้องก็ควรเข้าไปลงทุน เพราะถือเป็นการกระจายความเสี่ยงอย่างหนึ่ง

แม้ว่าธุรกิจโรงแรมที่ทำอยู่เดิมจะดีอยู่แล้ว แต่ต่อไปผู้ประกอบการโรงแรมเป็นหลักมีโอกาสโดนธุรกิจอื่น ซึ่งไม่ได้ทำโรงแรมเป็นหลักมาแข่งขันได้ เพราะแนวโน้มการทำธุรกิจข้ามสายงานมีมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นแล้วคือกรณี ปตท. ที่มีแผนจะทำโรงแรมหรือธุรกิจอื่นที่จะมาทำโรงแรมจึงไม่ควรจำกัดโอกาส โดยอยู่แค่ในธุรกิจโรงแรมเท่านั้น

“หากจะลงทุนในสตาร์ทอัพก็คงไม่ได้ดูแค่ต้องเกี่ยวกับธุรกิจโรงแรมหรือท่องเที่ยว แต่ต้องเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตมากได้ในอนาคต คือลงทุนด้วยเม็ดเงินไม่มาก แต่ถ้าสำเร็จอาจโตได้ 100 เท่าใน 2-3 ปี” ศึกษิต กล่าว

เชื่อว่านี่คงเป็นแค่ก้าวแรกของกลุ่มโรงแรมใหญ่ที่ไปลงทุนสตาร์ทอัพ หลังจากนี้คาดว่าจะมีกลุ่มอื่นทยอยลงทุนตามมาแน่นอน เพราะยุคดิจิทัลปลาเร็วกินทั้งหมด