posttoday

อินเด็กซ์ฯยึดอาเซียน หวังต่อยอด แข่งระดับโลก

28 มกราคม 2559

ปฏิเสธไม่ได้ว่าภูมิภาคอาเซียนถือเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจลงทุนอย่างมากในเวลานี้ เนื่องจากมีประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เป็นส่วนใหญ่

โดย...โชคชัย สีนิลแท้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าภูมิภาคอาเซียนถือเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจลงทุนอย่างมากในเวลานี้ เนื่องจากมีประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งการเติบโตของตัวเลขจีดีพีค่อนข้างสูง และยังไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก จึงเป็นที่น่าสนใจของกลุ่มทุนต่างชาติในการเข้ามาลงทุน

กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมานั้นไม่ค่อยสดใสนัก พิจารณาได้จากธุรกิจค้าปลีกที่สมาคมค้าปลีกประเมินว่าเติบโตน้อยที่สุด อยู่ที่ 3% จากปี 2557 ที่เติบโตได้ 3.2% ซึ่งถือว่าต่ำมากแล้ว และคาดการณ์ว่าปี 2559 การเติบโตจะอยู่ในระดับเดิมไม่เกิน 3% ปัญหาใหญ่มาจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ ผนวกกับกำลังซื้อที่ค่อนข้างซบเซา

ขณะที่กลยุทธ์สำคัญของอินเด็กซ์ฯ คือการบุกตลาดอาเซียน ทั้งในรูปแบบของการร่วมทุนกับต่างชาติ การขายสิทธิแฟรนไชส์ และการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายเพื่อรองรับกับตลาดที่เติบโตสูง

ทั้งนี้ ล่าสุดได้มีการลงนามสัญญาสิทธิแฟรนไชส์กับบริษัท วิน ดีเอส บริษัท วินกรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มทุนรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ซึ่งมีการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ โรงแรม ค้าปลีก ช็อปปิ้งมอลล์ คอนวีเนียนสโตร์ โรงพยาบาล และโรงเรียน ปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกในเวียดนามนั้นมีมูลค่า 9.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มีการขยายตัวต่อปีไม่ต่ำกว่า 19.5% 

การเปิดอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ภายใต้การบริหารของวิน ดีเอส สาขาแรกอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ที่วินคอม เมกา มอลล์ ถ่าวเดียน ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ใช้เงินลงทุน 200 ล้านบาท มีพื้นที่ขายกว่า 7,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) โดยในปีแรกตั้งเป้ายอดขายไว้ 350 ล้านบาท และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตปีละ 5% ซึ่งภายในระยะ 5 ปี จะเปิดสาขาให้ครอบคลุมเวียดนาม 10 สาขา ทั้งในเมืองโฮจิมินห์ ฮานอย และดานัง 

จะเห็นได้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เวียดนามเป็นตลาดที่ดึงดูดนักลงทุนมากเป็นอันดับ 2 รองจากจีน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จากข้อมูลพบว่าในปี 2558 เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัว 6.28% ขยายตัวมากที่สุดนับจากปี 2551 นอกจากนี้อำนาจซื้อของชาวเวียดนามที่มีจำนวนกว่า 90 ล้านคน มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้นกว่า 10% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

“คาดว่าสัดส่วนของผู้มีรายได้ปานกลาง คือมากกว่า 710 เหรียญสหรัฐ/เดือน หรือประมาณ 15 ล้านด่อง หรือ 2.39 หมื่นบาท จะเพิ่มขึ้นจาก 12 ล้านคน เป็น 33 ล้านคน จนถึงปี 2563 ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดสินค้าระดับกลางถึงบนเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภคในหัวเมืองใหญ่ ลูกค้ากลุ่มนี้มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง และมีพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบสังคมเมืองมากขึ้น”

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของอินเด็กซ์ฯ นั้น จะต้องให้ความสำคัญกับพาร์ตเนอร์ที่จะเข้ามาร่วมธุรกิจ เนื่องจากมีเงินลงทุนที่มากกว่า จึงทำให้ขยายตลาดได้รวดเร็ว หลังจากนั้นภายในอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทจะเดินหน้าขยายตลาดใหม่ๆ ในเอเชีย เช่น อินเดีย ไต้หวัน  จีน รวมไปถึงตะวันออกกลางที่เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศนี้เริ่มกลับมาฟื้นตัว ถือเป็นการก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำระดับโลก  ซึ่งสิ่งที่เป็นหัวใจหลักสำคัญของอินเด็กซ์ฯ คือการสร้างดีเอ็นเอเพื่อให้เป็นสินค้าแบรนด์ระดับโลก ทั้งคุณภาพควบคู่กับดีไซน์

ในส่วนของธุรกิจอสังหาฯ ในประเทศไทย ซึ่งข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า โครงการเปิดใหม่ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2558 นั้น ติดลบถึง 26.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีการประเมินว่าใน 4 เดือนแรกของปี 2559 ธุรกิจจะเติบโตได้ 27.7% เป็นผลมาจากการที่ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านธุรกิจอสังหาฯ แต่ก็ต้องพิจารณาอีกว่าในช่วง 8 เดือนที่เหลือนั้นจะเป็นอย่างไร โดยเฟอร์นิเจอร์เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่จะได้รับผลกระทบเช่นกัน

สำหรับในปี 2558 บริษัทมียอดขายรวม 9,500 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 5% แต่ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ว่าจะสามารถเติบโตได้ 10% โดยปีนี้ได้วางเป้าว่าจะเติบโตได้ 5% หรือมียอดขายรวม 1 หมื่นล้านบาท

ปัจจุบัน อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ มีสาขาที่เปิดดำเนินการในกรุงเทพฯ 6 สาขา ต่างจังหวัด 16 สาขา รวมเป็น 25 สาขา ซึ่งในปีนี้มีแผนจะเปิดสาขาใหม่ในประเทศ 2 แห่ง คือที่ จ.นครปฐม พื้นที่ 7,500 ตร.ม. ใช้งบลงทุน 250 ล้านบาท  และช่วงปลายไตรมาส 2 จะเปิดสาขาใหม่ที่ จ.ฉะเชิงเทรา พื้นที่ 5,500 ตร.ม. ใช้งบลงทุน 220 ล้านบาท เนื่องจากไม่ต้องการลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากในภาวะที่เศรษฐกิจในประเทศซบเซา

ทางด้านงบการตลาดในปีนี้จะใช้ 300 ล้านบาท ซึ่งได้ให้น้ำหนักกับการใช้งบผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น หรือมากขึ้น 3 เท่าตัว เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำกว่า และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มาก จากปีที่ผ่านมาได้ใช้งบผ่านสื่อออนไลน์ 10 ล้านบาท ในปีนี้จึงเพิ่มเป็น 30 ล้านบาท  พร้อมกับจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างหนักเพื่อเร่งยอดขาย รวมถึงการออกสินค้าใหม่ อย่างเช่นในปีนี้ได้ออกเฟอร์นิเจอร์ใหม่สำหรับใช้ในห้องน้ำ 7 ซีรี่ส์ จากก่อนหน้ามีเพียงสินค้าที่ใช้ตกแต่งภายในห้องน้ำ