posttoday

สุรชัย... ผู้จุดไฟมนุษย์เงินเดือน

24 มกราคม 2559

“ครูที่ดีสุดในชีวิตคือ ความล้มเหลว” คือเป็นบทเรียนที่สอนทุกอย่าง จนทำให้ธุรกิจ “ซานตาเฟ่ สเต็ก”

โดย...วราภรณ์ เทียนเงิน

“ครูที่ดีสุดในชีวิตคือ ความล้มเหลว”

คือเป็นบทเรียนที่สอนทุกอย่าง จนทำให้ธุรกิจ “ซานตาเฟ่ สเต็ก” เกิดขึ้นในประเทศ ไทยได้อย่างงดงาม โดยใช้เวลา 12 ปี มียอดขายทะลุพันล้านบาท

ที่สำคัญผู้ก่อตั้งเริ่มจากการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ก่อนตามหาความฝัน และสามารถแปรรูปความฝันสู่ความเป็นจริงทางธุรกิจได้สำเร็จ

แต่กว่าจะประสบผลสำเร็จถึงวันนี้ อดีตเจ้าหน้าที่ธนาคารหนุ่ม ที่ตามล่าความฝันตัวเองมีแรงบันดาลใจที่ชวนติดตาม

“สุรชัย ชาญอนุเดช” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคที เรสทัวรองท์ ผู้ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ร้านสเต๊กเฮาส์ ภายใต้ชื่อ “ซานตาเฟ่” เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของการสร้างธุรกิจร้านอาหาร ซานตาเฟ่ สเต็ก อันโด่งดัง มาจากการที่ตัวเองได้เคยไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง พบว่าราคาอยู่ในระดับค่อนข้างสูงมาก จึงจุดประกายความสนใจทำธุรกิจอาหาร ทำให้ตัดสินใจที่จะลาออกจากการทำงานในธนาคาร เพื่อมาศึกษาและเรียนรู้ในธุรกิจอาหารอย่างจริงจัง

เมื่อมีฝัน สุรชัยจึงเริ่มออกตามหา เขาลาออกจากธนาคารมาทำงานในบริษัทที่ทำธุรกิจร้านอาหารขนาดใหญ่ของประเทศอยู่ 3 ปี เพื่อเรียนรู้และได้ศึกษาข้อมูล

เมื่อได้เจอโอกาสและจังหวะที่เหมาะสม จึงมีคนชวนไปเปิดร้านอาหารไทยแห่งแรก โดยมีเงินทุนในระดับหมื่นบาทเท่านั้น ร้านอาหารไทยมีทั้งช่วงประสบความสำเร็จ และมีปัญหา จนเป็นหนี้หลายสิบล้านบาท แต่สิ่งที่ทำให้สุรชัยกลับมาเปิดและลุยสร้างธุรกิจร้านซานตาเฟ่ สเต็ก จนประสบความสำเร็จ มาจากการที่เขาตระหนักและบอกตัวเองว่า ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องล้มมาก่อน

คนส่วนใหญ่เมื่อล้มแล้วอาจจะล้มเลิก แต่หลายคนล้มแล้วล้มอีก เรียกว่าล้ม และล้ม แต่เขาก็ไม่ท้อถอย จนกระทั่งในที่สุด จะหาวิธีทำให้ล้มน้อยที่สุด และจะไปแข่งขันในสนามธุรกิจที่คิดว่าตัวเองจะต้องชนะให้ได้ คนเหล่านี้จึงพลิกกลับมาจากคนที่ล้มเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้

แรงบันดาลใจในการลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อนี่เอง ที่ทำให้สุรชัยเชื่อว่า ความสำเร็จมีแค่เวลา 1 วัน ความล้มเหลวมีเวลาแค่ 1 วัน ทุกอย่างจะเป็นอดีตได้ ความ
ล้มเหลวในอดีตสามารถกลายเป็นหนทางสู่การสร้างความสำเร็จในปัจจุบัน

“สุรชัย” พบว่า ในช่วง 12 ปีก่อน ร้านสเต๊กที่เปิดให้บริการในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการตามริมถนน ยังไม่มีเปิดให้บริการในศูนย์การค้ามาก่อน รวมทั้งมีผลวิจัยระบุว่า ประเทศเจริญแล้ว อัตราการบริโภคโปรตีนจะมีสูง เพราะหายากและมีราคาแพง จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเปิดตลาดในประเทศไทย เมื่อเขาได้ซื้อสูตรจากประเทศสหรัฐมาเปิดในไทย จึงเชื่อมั่นว่าตลาดมีศักยภาพขยายตัวได้ดี

ประกอบกับการทำธุรกิจอาหารไทยมานานเป็นสิบปี สุรชัยจึงมีความเข้าใจในธุรกิจอาหาร และได้เรียนรู้ประสบการณ์ในสิ่งที่ทำอย่างชัดเจน เมื่อขยายมาเปิดร้านอาหารสเต๊ก จึงได้เริ่มลงทุนเปิดในช่วงที่ธุรกิจร้านอาหารแรกมีปัญหาแล้ว เพราะเห็นในเทรนด์ของธุรกิจอาหารที่เปลี่ยนไป จึงต้องการสร้างธุรกิจใหม่มาทดแทน

ความสำเร็จของร้านซานตาเฟ่ สเต็ก มีที่มาที่ไป โดยเงินก้อนแรกที่ได้ลงทุนสร้างธุรกิจใหม่ร้านอาหาร มาจากการยืมเพื่อนสนิท 30 ล้านบาท มาต่อยอดในชีวิตอีกครั้ง รอบนี้สุรชัยวางแนวคิดของแบรนด์ร้านอาหารไว้ชัดเจนว่า คือ easy Steak any day เสนอความคุ้มค่า และคุ้มราคา มีการวางกลยุทธ์ของแบรนด์ การตลาด การบริหารภายในองค์กร และการเงินอย่างรัดกุม ทำให้ธุรกิจของเขาไม่มีการกู้เงินจากสถาบันการเงิน และมีสภาพคล่องในธุรกิจระดับสูง

สิ่งสำคัญอีกประการ คือ การปลูกฝังดีเอ็นเอของแบรนด์ให้เกิดขึ้น นั่นคือการสร้างความสุขให้แก่ลูกค้า ที่ความสุขต้องเริ่มจากตัวเราเอง ส่งต่อไปยังพนักงาน และส่งต่อเนื่องจากพนักงานไปถึงลูกค้า ลูกค้าทุกคนต้องมีความสุขที่เข้ามารับประทานอาหารในร้าน จึงต้องนำเสนออาหารที่มีความหลากหลาย และลูกค้าได้รับความสะดวกและรวดเร็ว

นี่คือเคล็ดลับความสำเร็จที่นำไปสู่การเปิดซานตาเฟ่ ใช้เวลา 12 ปี ที่สร้างยอดขายทะลุเกิน 1,000 ล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องทุกปี

หลักการบริหารงานที่สุรชัยยึดถือ ไม่ได้ยากสลับซับซ้อน โดยเขาเน้นเรื่องที่ทุกคนต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน และให้ทุกคนได้ทำงานอย่างเต็มที่ มุ่งดูแลพนักงานให้ดีที่สุด ทั้งรายได้และความไว้วางใจ

ที่สำคัญ ต้องทำให้พนักงานมีความเชื่อมั่นว่าทุกคนสามารถเก่งและฉลาดได้ และการที่ใครจะเก่งนั้นต้องมาจากการที่ต้องมีการสอนที่ดีนั่นเอง

ปัจจุบันพนักงานมีมากกว่า 1,300 คน และพนักงานในร้านแฟรนไชส์รวม 800 คน ขณะที่การบริหารร้านซานตาเฟ่ในช่วงที่ผ่านมา ได้วางแผนทุกอย่างรัดกุม จึงส่งผลให้ธุรกิจไม่เคยเกิดวิกฤตสักครั้ง

“สุรชัย” เล่าถึงการเดินทางของธุรกิจร้านอาหาร ซานตาเฟ่ สเต็ก ที่เติบโตมาจน ถึงปัจจุบัน และยังมีการขยายตัวต่อเนื่องว่า เขามีแผนขยายไปในอาเซียน โดยวางเป้าจะเปิดสาขาให้ได้ 300 สาขา ในอีก 7 ปี จากปัจจุบันที่มี 80 สาขา และกำลังวางแผนแตกธุรกิจอาหารแบรนด์ใหม่ตามเทรนด์ของอาหารที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

สุรชัย บอกว่า การมองเทรนด์ และหาโอกาสขยายแบรนด์ใหม่เป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจอาหาร

“สุรชัย” บอกเคล็ดลับสำหรับคนที่อยากทำธุรกิจว่า คนที่กำลังทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน และสนใจทำธุรกิจ ควรเริ่มทำจาก สิ่งที่รัก เพราะถ้าได้ทำในสิ่งที่ชอบ จะรู้สึก
ไม่เหมือนเป็นการทำงาน แต่เป็นการทำสิ่งที่เราถนัด เมื่อค้นหาตัวเอง ความชอบเจอก็เริ่มทำ อย่ากลัวที่จะพลาดหรือล้มเหลว เพราะคุณครูที่ดีสุดในชีวิตคือ ความล้มเหลว ที่เป็นบทเรียนนำมาปรับแก้ในการทำธุรกิจครั้งต่อไป จนกว่าจะเจอทางที่จะชนะในที่สุด

“การที่ผมมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับที่บ้านทำธุรกิจ ที่บ้านผมเปิดร้านขายของชำ แต่ผมค้นพบในสิ่งที่ชอบเจอ ได้ทำในสิ่งที่รัก สุดท้ายทุกอย่างเป็นแรงผลักดัน มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน ทำให้ผมมาจนถึงทุกวันนี้”

ก่อนจากกัน สุรชัย กล่าวทิ้งท้ายในประโยคของ มหาตมะ คานธี ที่เขาชอบมาก และมีความเชื่อแบบนั้นให้ชวนขบคิด คือ “คนคิดอะไร เชื่ออะไร ก็จะเชื่อแบบนั้น พูดแบบนั้น ทำแบบนั้น และมีนิสัยแบบนั้น ท้ายที่สุด พรหมลิขิตจะเป็นแบบนั้น”

นี่คือชีวิตของคนที่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีความสุข...และชวนติดตาม