posttoday

ธรรมในวันอาสาฬหบูชา จาก พระ ดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย (ศากยะ)

17 กรกฎาคม 2554

ในการกล่าวสัมโมทนียกถา เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาที่องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก

ในการกล่าวสัมโมทนียกถา เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาที่องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก

โดย...สมาน สุดโต

ในการกล่าวสัมโมทนียกถา เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาที่องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก หรือที่เรียกโดยย่อว่า พ.ส.ล. เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2554 พระ ดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย ศากยะ วัดบวรนิเวศวิหาร ผู้ช่วยเลขาธิการสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งได้รับนิมนต์มาเป็นประธานสงฆ์ กล่าวถึงความสำคัญของวันอาสาฬหบูชาให้ที่ประชุมฟังว่า วันอาสาฬหบูชาว่าเป็นวันพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นวันแห่งพระพุทธศาสนา เป็นวันแสดงตนเป็นพุทธมามกะ และเป็นวันสำคัญที่ประเทศไทยจัดให้ชาวโลกได้บูชา พร้อมทั้งกล่าวถึงหลักธรรม และหลักความคิดในวันสำคัญดังกล่าวด้วย

องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เป็นองค์การระหว่างประเทศทางพุทธศาสนา ตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2493 ในประเทศศรีลังกา โดยมีผู้แทนจาก 27 ประเทศ จากทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ

มาร่วมประชุมพร้อมกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ปัจจุบันตั้งสำนักงานถาวรที่ประเทศไทย โดยมีนายแผน วรรณเมธี เป็นประธาน และนายพัลลภ ไทยอารี เป็นเลขาธิการ

เบื้องต้นแห่งสัมโมทนียกถา พระดร.อนิลมาน กล่าวว่า พ.ส.ล.เป็นองค์กรทางพระพุทธศาสนาแห่งแรกของโลก แต่ประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนาปัจจุบันอยู่อันดับที่ 4 ของโลก เมื่อนับรวมประเทศจีนเข้าไปด้วย ทั้งๆ ที่ในระยะแรกๆ นั้น ประชากรชาวโลกที่นับถือพระพุทธศาสนาอยู่อันดับที่ 1 แต่เพราะการเมืองของโลกผันแปร ส่งผลกระทบต่อผู้นับถือศาสนาต่างๆ รวมทั้งพระพุทธศาสนาด้วย

ธรรมในวันอาสาฬหบูชา จาก พระ ดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย (ศากยะ)

วันอาสาฬหบูชาที่จัดบูชากันในเมืองไทย ตรงกับวันศุกร์ที่ 15 ก.ค. 2554 นั้นประเทศไทยแนะนำให้ชาวโลกได้บูชา เพราะในปฏิทินชาวพุทธอื่นๆ ในโลกไม่ได้ให้ความสำคัญ นอกจากวันวิสาขบูชาเท่านั้น

แท้จริงวันอาสาฬหบูชามีการพูดถึงในสมัยรัชกาลที่ 4 มาก่อนแล้ว แต่มาเป็นวันสำคัญอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2501 เมื่อรัฐบาลไทยประกาศให้เป็นวันที่ชาวพุทธบูชา จึงเป็นวันสำคัญที่ประเทศไทยจัดให้ชาวโลก

วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสถาปนาพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร ทำให้ชาวโลกรู้ว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ในวันวิสาขบูชานั้น เป็นสิ่งที่เป็นจริง ปฏิบัติได้จริง ปฏิบัติแล้วได้ผลจริง

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ถ้าไม่มีคนปฏิบัติตาม เห็นจริงตาม ตามที่พระองค์ทรงสั่งสอน เราก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่จริงไหม วันอาสาฬหบูชาจึงเป็นวันแห่งการก่อตั้งพระพุทธศาสนา การประกาศพุทธศาสนา ทำให้ชาวโลกเกิดสันติสุขขึ้น

ท่าน ดร.อนิล ซึ่งเป็นพระภิกษุจากประเทศไทยรูปแรกที่สำเร็จปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ เล่าถึงเหตุการณ์ภายหลังที่พระองค์ตรัสรู้ว่าได้ทรงเสวยวิมุติสุข ในละแวกต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา 49 วัน ยังไม่มีคนรู้ว่าพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า จนกระทั่งได้เทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ที่สารนาถ ซึ่งอยู่ห่างจากพุทธคยาประมาณ 200 กิโลเมตร โดยพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นรูปแรก และขออุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ท่านโกณฑัญญะจึงเป็นพยานในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

ส่วนพระธรรมเทศนาครั้งนั้นเรียกว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร แต่อรรถกถาจารย์เรียกว่า ปฐมเทศนา หากพิจารณาตามคัมภีร์แล้วธัมมจักกัปปวัตนสูตร มิใช่ปฐมเทศนา เพราะพระองค์เทศน์โปรดพราหมณ์ คนหนึ่ง หรือ 2 คนระหว่างเดินทางจากพุทธคยามาสารนาถ แต่พราหมณ์ที่ว่านั้นบุญไม่ถึง ฟังไปก็ไม่รู้ว่าอะไร นอกจากร้องเออ งั้นหรือ เป็นเช่นนั้นหรือ แล้วทิ้งไว้ตรงนั้น ในคัมภีร์เรียกว่า หึๆ พราหมณ์ เพราะ หึ อย่างเดียว นับว่าเป็นการแสดงพระธรรมเทศนาหนแรกแต่ไม่สำเร็จ

เมื่อถึงสารนาถ ทรงแสดงธรรมให้ปัญจวัคคีย์ จึงประสบผลสำเร็จ ส่วนเนื้อหาที่ทรงแสดงมี 2 เรื่อง เรื่องที่ 1 คือ อริยสัจ 4 ที่กลายเป็นคำสอนหลักของพระพุทธศาสนา แต่อริยสัจ 4 ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรไม่เหมือนกับที่เราเรียนเราสอนกัน ที่เราเรียนอริยสัจ 4 เริ่มที่ทุกข์ ตามด้วย สมุทัย นิโรธ มรรค

ทุกข์ต้องกำหนดรู้ สมุทัย ต้นเหตุแห่งทุกข์นั้นต้องละ นิโรธ ต้องทำให้แจ้ง และมรรค ต้องปฏิบัติ

แต่ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรนั้น เริ่มการแก้ไขปัญหาโดยตรง ไม่ได้เริ่มจากมูลเหตุแห่งทุกข์

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ท่าน ดร.อนิล อธิบายความหมายและที่มาของคำว่าทุกข์และสุข ไว้อย่างน่าสนใจ โดยท่านบอกว่า ความหมายของคำว่าทุกข์ มี 2 แบบ เช่น ในบทสวดมนต์ว่า ชาติปิ ทุกขา ชราปิ ทุกขา คือการเกิดการแก่เป็นทุกข์ การเจ็บไข้ได้ป่วยการพลัดพรากจากคน หรือของที่รักเป็นทุกข์ พบกับคนที่ไม่ชอบเป็นทุกข์ สรุปว่าการมีขันธ์ 5 เป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะอะไร ทุกข์แปลว่าอะไร ท่านอ้างอนัตตลักขณสูตร ที่ทรงแสดงทุกข์เหมือนกัน แต่มีความหมายแตกต่างจากที่อธิบายมานี้ ทุกข์ในอนัตตลัขณสูตร เป็นทุกข์ที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นทุกข์ในไตรลักษณ์ แปลว่าสภาพที่ทนไม่ได้

คำว่าทุกข์ ตามรากศัพท์น่าสนใจมากกว่า คำว่าสุข คำว่าทุกข์มีรากศัพท์อันเดียวกันคือ คำว่า ข. (ขะ) มีตัวขยายสุขกับทุกข์ แต่ว่าโดยภาษาเขียนคำว่าทุกข์มี ก.เข้ามากำกับ ภาษาอินเดียออกเสียงยาว แต่สุขไม่มี ก.กำกับออกเสียงสั้นทั้งสองมาจากรากศัพท์อันเดียวกันคือ ข. (ขะ)

ข. (ขะ) ตัวนี้ตามภาษาบาลี แปลว่าทน หรืออดทนเพราะฉะนั้น สุขแปลว่าทนได้ เพราะ สุ แปลว่าดีง่าย ทุกข์แปลว่ายาก ไม่ดี ทั้งสองคำ สุขแปลว่าทนได้ง่าย ทุกข์แปลว่าทนได้ยาก

ที่ท่านทั้งหลายนั่งอยู่ที่นี่ ทนนั่งได้นาน นั่งสบาย ความสบายนั้นทนได้เท่าไร ตราบใดที่ทนได้ นั่นคือ สุข เมื่อเกิดเหน็บชา ทนไม่ได้ คือ ทุกข์ มาแล้ว

ทุกข์ตามรากศัพท์แปลว่า ทนไม่ได้ มันก็คืออนิจจัง ทุกข์ในอริยสัจ มิใช่มีความหมายว่าการเกิดเป็นทุกข์ การตายเป็นทุกข์ แต่รากศัพท์จริงๆ อยู่ที่เราจะรับสภาพนั้นได้หรือไม่

ความสุขที่แท้จริงไม่มี ถ้าได้สิ่งนั้นเราได้สุข ได้แล้วหยุดตรงนั้นไหม ก็ไม่ แต่มันจะเกิดและต่อยอดไปเรื่อย ดังนั้นความสุขตามพุทธศาสนาคือ ความสงบ สงบจากอะไร จากโลภโกรธ หลง กิเลสที่ว่านั้นไม่เกิด ชาวบ้านเรียกว่าสุข

ท่าน ดร.อนิล เล่าว่า คนในสมัยนั้นเชื่อเรื่องที่ปรากฏขึ้นว่าเป็นกรรมเก่า แก้ไขไม่ได้ ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนพระพุทธเจ้าทรงเห็นแย้งว่าสิ่งที่เราพบประสบ มิใช่ผลของกรรมเก่าแต่อย่างเดียว แต่คนสมัยนั้นเชื่อเสียแล้ว แก้ไขไม่ได้ ส่วนการจะพ้นจากกรรมเก่า ต้องเซ่นสรวง เท่านั้น

ท่าน ดร.อนิล ได้โยงเรื่องนี้กับพระเวทว่า คำว่าพระเวท คือความรู้ เวท คือรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมที่จะเอาใจพระผู้เป็นเจ้าองค์นั้นองค์นี้อย่างไร เมื่อเราเอาใจผู้เป็นเจ้า ผู้มีอำนาจ เราก็จะจะได้ตามปรารถนา

ธรรมในวันอาสาฬหบูชา จาก พระ ดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย (ศากยะ)

เมื่อทุกอย่างเป็นผลของกรรมเก่า วิธีล้างกรรมเก่า คือการทรมานกาย แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า แค่มีชีวิตไปวันหนึ่งๆ หายใจเข้าออกต่อวัน ก็ทุกข์มากอยู่แล้ว จะต้องไปทรมานกายทำไม ทรงปฏิเสธการทรมานกายหรือกิลมัฎฐานุโยค

อีกแบบหนึ่งคือพวกพราหมณ์บางพวก เชื่อกันว่าชีวิตในอนาคตไม่มี ชาติหน้าไม่มี ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มในชาตินี้ เสวยสุขแบบโลกๆ (กามสุขัลลิกานุโยค) แต่พระพุทธองค์ปฏิเสธเรื่องนั้น กลายเป็นว่าพระพุทธองค์ปฏิเสธสุดขั้วทั้งสอง พร้อมกันนั้นทรงแนะนำมัชฌิมาปฏิปทา เส้นทางสายกลาง ทรงอธิบายถึงมรรคมีองค์ 8 แล้วจึงมาพูดถึงทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

มรรคมีองค์ 8 นั้น ถ้าจะจำง่ายๆ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล คืออะไร ที่เราขอศีล เป็นศีลทางพิธีกรรม ศีลจริงๆ นั้น เราทุกคนต้องมีศีลแปลว่าปกติ ตราบใดที่เรายังเป็นคนปกติ สามารถรักษาความเป็นปกติของความเป็นมนุษยชาติ เราถือว่ามีศีล ในศีล 5 นั้นไม่ใช่สิ่งที่เพิ่มเติมอะไร และมิได้เป็นข้ออ้างเหมือนที่ทำในศาสนาอื่น

ศีล แปลว่า ปกติ โดยปกติ เราไม่ฆ่า เมื่อสมาทานศีลก็แปลว่า เราศึกษาบทเรียนว่าด้วยไม่ฆ่า หรือการละเว้นลมปราณ การขาดลมปราณก็คือการฆ่า หากเราทำพวกนี้ผิดปกติ ผิดศีล เราก็เลิกเป็นมนุษย์ แต่จะเป็นอย่างอื่นมากขึ้น

ข้อ 2 คือ อทินนา ก็เหมือนกัน ข้อ 3 กาเมสุมิจฉา นั้นไม่เฉพาะเรื่องกาเม ประพฤติผิดในกามเท่านั้น แต่มีความหมายมากกว่านั้น กามคือ กามคุณ 5 เราสมาทานศีลข้อนี้ ก็เพื่อศึกษาว่า เราจะรักษาสิทธิมนุษยชน

ข้อ 4 การโกหกนั้น ตามปกติเราไม่โกหก ถ้าโกหกก็จะเห็นว่าหน้าแดง เหงื่อตก มีอาการผิดปกติ

ข้อ 5 การกินเหล้า ก็เหมือนกัน เป็นเรื่องทำให้ขาดสติ อยู่ในความประมาท

การขาดศีล 5 ก็คือ ขาดความปกตินั่นเอง

พระ ดร.อนิล เล่าว่าพระพุทธองค์ทรงสอนสมาธิ ก็เพื่อให้พัฒนาความคิด เปลี่ยนแปลงวิธีคิด รักษาสถานภาพของความสมดุลไว้ ธรรมก็เกิด ธรรมตามรากศัพท์แปลว่าทรงไว้

ทุกอย่างที่มองเห็นอยู่นั้นมันอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อเราเห็นกระดาษ ถามว่ากระดาษจริงๆ มีไหม แท้จริงแล้วไม่มี มันเป็นกระดาษก็เพราะมีองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งน้ำ ไฟ ไม้ และอากาศ เมื่อประกอบกันอยู่เรียกว่า กระดาษ

ถ้าเรารักษาความสมดุลไว้ได้ก็เป็น สมาธิ พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบธรรมะเหมือนกับแพ เวลาเราแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ก็ไม่ได้คำนึงตรงนั้น เหมือนเราข้ามแม่น้ำเสร็จแล้ว ใช้แพเสร็จแล้ว ไม่ต้องมานั่งแบกแพตัวนี้ตะลอนๆ ไป

การแก้ปัญหาความไม่สมดุล ให้สมดุลนั่นคือสมาธิ แต่พระพุทธเจ้าไม่ยึดติดตรงนั้น พระองค์สามารถทำลายกิเลสลงได้ ปัญญาคือความเข้าใจ ก็เกิด นั่นคือ การพัฒนาศักยภาพของสมอง

ในแง่ของมรรคมีองค์ 8 กล่าวโดยสรุป ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ทรงเน้นให้เห็นตรงนี้ เมื่อท่านอัญญาโกณฑัญญะ เข้าใจธรรม พระองค์จึงเปล่งอุทานว่า อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีตัวตนจริง ความรู้ หรือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นจริง มีท่านโกณฑัญญะเป็นสักขีพยานคนแรกของการตรัสรู้นั้น ท่านโกณฑัญญะเป็นพระ ทำให้ครบองค์ไตรรัตน์

ต่อจากนั้น พระองค์ทรงอธิบายอนัตตลักขณสูตรที่พูดถึงเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทรงแสดงการทำลาย (กิเลส) และการเข้าใจธรรมชาติและโลก ทำให้นักบวชอีก 4 รูป คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ตรัสรู้ตาม เป็นคณะสงฆ์ชุดแรก

ดังนั้นวันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่ทำให้เกิด‌พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ และเราก็ใช้ 3 รัตนะนี้ เป็นแนวทางการแสดงตนเป็นพุทธมามกะ แต่ท่านบอกว่ามันไม่ใช่เพียงเท่านี้ ท่านบอกว่าพุทธหมายถึงผู้ตื่น การถึงพุทธเป็นที่‌พึ่งคือทำตัวเองให้ตื่นให้รู้ เข้าใจธาตุแท้ตัวเอง เช่น‌เดียวกันกับถึงธรรมเป็นที่พึ่งต้องทำให้โลกสมดุล เป็นธรรมชาติ และการถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งคือพระ‌สงฆ์นั้นต้องเป็นตัวอย่างของสังคมที่นำคำสอนของ‌ท่านสรุปว่า วันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระพุทธ พระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ เพื่อชาวโลกจะได้ปฏิบัติตาม‌พระธรรม และพระสงฆ์ จึงขอชักชวนชาวพุทธให้‌รำลึกความสำคัญของคำสอนในวันนั้นแล้วนำมาใช้‌เป็นหนทางที่จะส่งชีวิตของเราให้เกิดสันติสุข ตามที่ทุกคนปรารถนา  ‌








 


 

 

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2