ทุกปัญหาแก้ไขได้ ด้วยสติปัญญานั่นเอง (ตอน ๓)
ปุจฉา : ในสถานการณ์การเมืองที่ไม่นิ่ง ผันผวน ซึ่งเป็นผลมาจากระบบในสังคมที่ล้มเหลว
ปุจฉา : ในสถานการณ์การเมืองที่ไม่นิ่ง ผันผวน ซึ่งเป็นผลมาจากระบบในสังคมที่ล้มเหลว
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
ปุจฉา : ในสถานการณ์การเมืองที่ไม่นิ่ง ผันผวน ซึ่งเป็นผลมาจากระบบในสังคมที่ล้มเหลว หมู่ชนอ่อนแอ จนทำให้เสียสติใหญ่ ไหลตามกระแสไปอย่างขาดความถูกต้องชอบธรรม ดังผลแห่งการเลือกตั้งที่แสดงออกมา ซึ่งอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้องของสังคม เมื่อผลปรากฏเป็นเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อการอยู่ร่วมในสังคมที่ขาดเสถียรภาพ ขาดความชอบธรรม ขาดความถูกต้อง ใคร่ขอทราบแนวคิดของพระอาจารย์ เพื่อการปรับสภาพจิตใจให้สามารถดำรงอยู่ในสังคมแบบนี้ได้อย่างไม่สูญเสียคุณภาพและคุณค่าของความเป็นพุทธศาสนิกชน...
จาก อุบาสิกาแก้ว/เชียงใหม่
วิสัชนา : หากมองผ่านช่องประตูประวัติศาสตร์ของสังคม ก็จะพบว่า ...ในทุกๆ ครั้งที่ก่อเกิดปัญหาโถมทับขึ้นในสังคมจนยากที่จะเยียวยาแก้ไข ก็จะมีผู้กล้าหาญและบางหมู่คณะออกมานำพาสังคมให้ออกจากปัญหา ด้วยสติปัญญาบารมีและความซื่อสัตย์กล้าหาญ จนมีคำพูดที่เป็นสัจธรรมแบบไทยๆ ว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่เคยสิ้นคนดี” และสามารถนำสังคมประเทศชาติออกจากปัญหาด้วยปัญญาอันเยี่ยม ความกล้าหาญอันเป็นเลิศ
ปัญญา...จึงเป็นอำนาจธรรมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถเปลื้องปัญหาที่รุมเร้าด้วยสภาพแห่งความนึกคิดที่ปรุงแต่งไม่รู้จบ จนทำให้เกิดความหวาดวิตกกังวล ลังเลสงสัยในประจักษ์แจ้งแห่งความจริงให้หมดสิ้นไปได้ ซึ่งหากมิฉะนั้นแล้ว ก็คงมีพฤติกรรมที่เป็นลบ มีพฤติจิตที่เป็นอกุศล จนในสุดท้ายจึงมีจิตสรีระแปรปรวน หรือเป็นโรคจิตเภทกันเป็นส่วนใหญ่... ทั้งนี้เพราะขาดปัญญาที่รู้เข้าใจในความจริงของโลก หรือเรื่องราวทั้งหลายว่า มันย่อมเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุปัจจัย ...เหตุปัจจัยมีอยู่ สิ่งเหล่านั้นก็มีอยู่ ...เหตุปัจจัยสิ้นไป สิ่งเหล่านั้นก็ย่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา
ดังนั้น หากมีปัญญาเข้าใจในความจริงตามธรรมอันตรงตามพระไตรลักษณ์ และมีสติรู้ทันวิถีจิตที่เคลื่อนไหวไปตามสภาพธรรมชาติ ก็ไม่ยากที่จะมองเห็นตกผลึกของเรื่องราวรายละเอียดในปัญหาต่างๆ อย่างเป็นไปตามหลักธรรมดาของมัน... โดยหากรู้จักคิดพิจารณาโดยแยบคาย ก็จะสามารถเข้าถึงชั้นของความจริงแท้ที่ให้รู้ถึงเหตุปัจจัยหรือสมุทัยในแต่ละเรื่องราว... แต่ละปัญหาที่สามารถเข้าถึงการดับปัญหาหรือแก้ไขเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างถูกวิธีและถูกต้องตรงจุดของปัญหา
โดยไม่สูญเสียสภาพจิตใจที่ดี... จนจิตยิ้มได้กับการเผชิญในทุกๆ เรื่องราว ...จริงๆ แล้วเรื่องอาการจิตยิ้มได้นั้น เป็นลักษณะธรรมชั้นสูงของพระอริยบุคคล ที่เรียกว่า “หสิตุปบาท” คืออาการที่จิตแย้มยิ้มเอง โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม หมายความว่า ไม่อยากยิ้ม มันก็ยิ้มของมันเอง ซึ่งไม่เป็นไปในปุถุชนทั้งหลาย... แต่ก็สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ หากดำรงสติปัญญาอย่างต่อเนื่อง จนจิตสงบมั่นคง และเห็นแจ้งรู้ทันในจิตวิถีอยู่ทุกขณะตามกำลังของสติปัญญา จนสามารถตัดวงจรกระแสจิตได้ทันในทุกขณะ... ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชั้นสูงที่สาธุชนควรเรียนรู้ต่อไปในพระพุทธศาสนา
กลับมามองดูเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองของเรา ที่ดูออกจะวุ่นวายสับสนอลเวงบ้าง ตามปุจฉาที่กล่าวมา ก็ถือว่าไม่ได้ผิดปกติไปจากสภาพธรรมความเป็นจริงในกาลยุคสมัยของโลกนี้ ซึ่งมีวัตถุนิยมครองจิตใจยิ่งและศีลธรรมเสื่อมถอย!! จึงก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไรเลยกับการเคลื่อนย้ายถ่ายเทเปลี่ยนแปลงไปมาของภาคสังคม
อ่านต่อฉบับวันจันทร์


