'หอธรรมพระบารมี' สัปปายสถานแห่งการปฏิบัติ
เห็นลีลาพระครูวรกิตติโสภณ หรือหลวงพ่อเศรษฐกิจ เปิดอบรมนักเรียนชั้นประถมปีที่ 5
เห็นลีลาพระครูวรกิตติโสภณ หรือหลวงพ่อเศรษฐกิจ เปิดอบรมนักเรียนชั้นประถมปีที่ 5
โดย...สมาน สุดโต
เห็นลีลาพระครูวรกิตติโสภณ หรือหลวงพ่อเศรษฐกิจ เปิดอบรมนักเรียนชั้นประถมปีที่ 5 จากโรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนต์ แล้วอดทึ่งไม่ได้ เพราะนอกจากความเมตตาแล้ว ลีลาและศิลปะการถ่ายทอด ทำให้นักเรียนชั้นประถมปีที่ 5 ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ก่อนที่จะเล่าเรื่องต่างๆ ที่แฝงคติธรรมและประวัติของวัด หลวงพ่อนำนักเรียนไหว้พระ สวดมนต์ และสมาทานศีล 5 ซึ่งนักเรียนทำได้สมบูรณ์ตามประเพณีชาวพุทธที่ดีได้เยี่ยมยอดมาก ทั้งๆ ที่เรียนซางตาครู้สอันเป็นโรงเรียนคริสต์
หลวงพ่อเป็นนักสอนกรรมฐาน จึงสอนเรื่องง่ายๆ แต่ฟังแล้วจำไม่รู้ลืม โดยบอกว่านักเรียนชุดนี้เป็นรุ่นแรก ถ้าอยากเป็นดอกเตอร์ต้องมีคาถาไว้เสกว่า เด็กดี คือเด็กไม่ดื้อ เด็กดื้อ คือเด็กไม่ดี ให้นักเรียนใช้ 2 มือลูบหน้าเสกทุกเช้าทุกเย็น จะทำให้เด็กมีตนเป็นพึ่งของตน ตรงกับพุทธภาษิตว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
ท่านอธิบายความหมายของเด็กดีว่า ต้องเชื่อฟังพ่อแม่และครูอาจารย์สอน ส่วนที่คนอื่นๆ พูดนั้นฟังไว้ก่อน โดยไม่ต้องเชื่อทั้งหมดก็ได้ เพราะบางคนปากหวานใจขม เช่น ที่มีข่าวว่าหญิงคนหนึ่งพูดดีกับแม่ของเด็กแล้วอุ้มลูกหนีไปเลย แบบนี้จัดว่าเป็นพวกปากหวานใจขม
จากนั้นหลวงพ่อเล่าถึงความหมายของนาคปรกที่เป็นชื่อวัดว่า ตามพุทธประวัติกล่าวถึงพระยานาคชื่อมุจรินทร์มาแผ่พังพานปกป้องพระพุทธเจ้าให้พ้นจากฝนที่ตกตลอด 7 วัน ในขณะที่พระพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขหลังจากตรัสรู้แล้ว ชาวพุทธจึงนิยมสร้างพระพุทธรูปที่มีพญานาค 7 เศียร แผ่พังพานเหนือเศียรพระพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่าพระนาคปรกจนกระทั่งทุกวันนี้
วัดนาคปรกนั้น แต่ก่อนทีเดียวสมัยแรกสร้างครั้งกรุงศรีอยุธยาชื่อว่าวัดปก ต่อมาตอนต้นรัตนโกสินทร์ เจ้าสัวพุกบูรณะวัดเป็นอนุสรณ์แก่ภรรยาที่เป็นคนไทย พระประธานในโบสถ์จึงมีชื่อว่า หลวงพ่อเจ้าสัว ภาพเขียนฝาผนังโบสถ์เป็นภาพเขียนเครื่องบูชาแบบจีนทั้งสิ้น พบได้ที่วัดนี้แห่งเดียว
ส่วนคำว่าเจ้าสัว มาจากคำว่า จ๋อบวกสัว แปลว่านั่นพิงภูเขา แต่นักการเมืองแปลความหมายว่า นั่งบนภูเขา อิ่มเหมือนทะเล (เพราะโกงกิน)
ในด้านความศักดิ์สิทธิ์ของพระในวัดนั้น ใครมาไหว้พระวัดนี้มีอานิสงส์ ได้รับความคุ้มครองจากคุณพระรัตนตรัย จะไม่ได้รับความทุกข์ความโศกและพ้นอุปสรรค ดังที่ศิษย์ของหลวงพ่อที่เป็นชาวสิงคโปร์กับครอบครัว เคยเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อที่สหรัฐอเมริกา มาที่วัดเมืองไทยไหว้หลวงพ่อนาคปรก กลับไปทำงานหากมีปัญหาและอุปสรรคจะอธิษฐานถึงหลงพ่อนาคปรก ปัญหาก็หมดไป
เมื่ออบรมนักเรียนจบก็พาผมชมงานยกโบสถ์และดูปูชนียวัตถุในวัด จากนั้นได้เล่าถึงความเป็นมาของท่านว่า เป็นคนเกิดปีวอก พ.ศ. 2487 ที่ จ.พิจิตร หลังจากผ่านการเกณฑ์ทหารแล้วจึงอุปสมบท เรียนหนังสือที่ จ.พิษณุโลก และสำนักจิตภาวัน ชลบุรี ของท่านกิตติวุฑโฒ โดยเลือกเรียนวิชาพระไตรปิฎกที่ชอบเป็นเวลา 6 ปี มาอยู่วัดนาคปรกปี 2519 ช่วยเปิดโรงเรียนสอนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์และทำงานทุกอย่างด้วยความเกรงใจสมภารเจ้าวัด เพราะมาอยู่วัดนาคปรกแบบคนมีเส้น ไม่ต้องสอบเหมือนพระเณรอื่นๆ จึงต้องช่วยงานสมภารทุกอย่างด้วยความเกรงใจ
หลังจากพัฒนาวัดได้ที่แล้ว แล้วไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย จบโบราณคดีและสังคม กลับมาก็ส่งเสริมให้เจ้าคุณวีรยุทธ์ หรือพระราชรัตนรังษีไปเรียน จนกระทั่งท่านองค์นี้มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะพระธรรมทูตและนักเผยแผ่ในอินเดีย
ตัวท่านอยู่เมืองไทยไม่นาน หลวงเตี่ย หรือพระธรรมราชานุวัตร เรียกตัวไปช่วยที่วัดไทยแอลเอ ปี 2526 อยู่ที่วัดไทยแอลเอ 17 ปี มีผลงานมากมาย โดยเฉพาะงานเพื่อส่วนรวม เช่น สมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐนั้น ท่านไม่เคยทิ้ง มาอยู่เมืองไทยก็กลับไปประชุมประจำปีทุกปี ไม่เคยขาด
นอกจากนั้น ได้สร้างวัดพุทธสามัคคีที่ไครสต์เชิร์ชและเนลสัน ประเทศนิวซีแลนด์ รวมทั้งช่วยสร้างวัดที่อินเดียหลายวัด
เคยอยู่วัดไทยพุทธคยา อินเดีย 6 ปี จึงคุ้นเคยกับพระที่วัดไทยพุทธคยาทุกรูป เมื่อเจ้าอาวาสวัดนาคปรกมรณภาพ เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร พระสุเมธาธิบดี ที่เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธยา จึงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดนาคปรก ถึงปัจจุบัน
ท่านมีปณิธานว่า จะสืบสานพุทธธรรมคำสอนตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เพราะท่านนั้นคือนักสอนกรรมฐาน


