มิสเตอร์แชมเปียนส์ลีก ราอูล กอนซาเลส

ในที่สุดเราก็ได้ทราบแล้วว่า 4 ทีมสุดท้ายที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก มีทีมใดบ้าง

แม้จะไม่มีการพลิกล็อกจากผลการแข่งขันในเกมนัดแรก โดยที่ เรอัล มาดริด เตรียมเปิดศึก “เอล กลาซิโก” กับ บาร์เซโลนา คู่รักคู่แค้น แถมยังจะต้องดวลกันถึง 4 เกมใน 18 วัน เรียกได้ว่าเตะให้เบื่อกันไปข้างเลยทีเดียว อีกทั้งเป็นการวัดกึ๋นความสามารถของยอดกุนซืออย่าง เปป กวาร์ดิโอลา และ โจเซ มูรินโญ ว่าใครจะแน่ไปกว่ากัน รวมไปถึงการวัดฝีเท้าของสุดยอดนักเตะของโลก ลิโอเนล เมสซี กับ คริสเตียโน โรนัลโด ว่าใครจะเจ๋งกว่ากันอีกด้วย

ขณะที่อีกคู่ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันอยู่พอสมควร “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมดวลแข้งกับ “ราชันสีน้ำเงิน” ชาลเก 04 ที่สามารถผ่านทะลุเข้ามาถึงรอบตัดเชือกได้เป็นครั้งแรกของสโมสร ซึ่งปีศาจแดงของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ไม่อาจจะประมาทได้ วันนี้เลยจะขออนุญาตเอ่ยถึงยอดทีมจากเยอรมนีสักเล็กน้อย

ผลงานในลีกอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก หากเทียบกับ 4 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบมาด้วยกัน โดยชาลเกรั้งอันดับ 7 ของตารางบุนเดสลีกา เยอรมัน แต่ผลงานในถ้วยยุโรปนั้นกลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากทีมที่บรรดาเซียนทั้งหลายมองข้าม แต่วันนี้พวกเขากลับหักปากกาเซียนเสียหน้าหงายกันไปเลย

เส้นทางของชาลเกกว่าจะผ่านมาถึงรอบนี้ไม่ง่ายนัก โดยเจอคู่แข่งอย่าง โอลิมปิก ลียง (ฝรั่งเศส) เบนฟิกา (โปรตุเกส) ฮาโปเอล เทล อาวีฟ (อิสราเอล) บาเลนเซีย (สเปน) และล่าสุดสามารถถลกหนัง “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงแชมป์เก่าเมื่อฤดูกาลที่แล้วได้อย่างราบคาบ ผลสกอร์รวมสองนัด 73 ยิงจนกลับบ้านไม่เป็นเลยทีเดียว เครดิตจากเกมในครั้งนี้ต้องยกให้ ราล์ฟ รังนิก กุนซือสมองเพชร ที่แก้เกมจนสามารถเอาชนะไปได้ทั้ง 2 เกม

แต่อีกคนที่แฟนๆ ราชันสีน้ำเงินจะต้องยกเครดิตให้นั่นก็คือ “ราอูล กอนซาเลซ”

คงจะะปฏิเสธไม่ได้ว่า ราอูล มีส่วนสำคัญมากในการพาชาลเกผ่านทะลุเข้ามาถึงรอบตัดเชือกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร และการแข่งขันในรอบ 4 ทีมสุดท้าย ราชันสีน้ำเงินก็ยังคงต้องฝากความหวังไว้กับอดีตหัวหอกเรอัล มาดริด ในการทะลวงตาข่ายปีศาจแดง

ราอูลเคยตะบันแฮตทริกใส่ปีศาจแดงได้ถึงสองครั้งสองคราว เขี่ยยักษ์ใหญ่จากเกาะอังกฤษตกรอบ 4 ทีมสุดท้ายมาแล้ว สมัยค้าแข้งอยู่กับเรอัล มาดริด ในปี 2000 และ 2003

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ราอูลตั้งเป้าเขี่ยแมนฯ ยูไนเต็ด เพื่อเบิกทางให้ทำความฝันของตัวเอง นั่นก็คือดวลแข้งกับทีมเก่าในรอบชิงชนะเลิศ

“มันคือความฝันของผมในการแข่งกับเรอัล มาดริด ในรอบชิงชนะเลิศ และเหตุผลที่สำคัญนั่นก็คือ เราจะต้องเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ดให้ได้ ทุกคนบอกว่าชาลเกเป็นทีมที่สามารถเอาชนะได้ไม่ยาก แต่พวกเราแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ใช่เรื่องจริง” อดีตหัวหอกสเปน กล่าว

นอกจากนี้ ราอูลเคยครองแชมป์ถ้วยใบนี้มาแล้วถึง 3 สมัย แต่หลังจากการเข้ามาทำทีมของ โจเซ มูรินโญ บวกกับราอูลมีอาการบาดเจ็บรบกวนในตอนนั้น จึงถูกเป็นตัวเลือกที่ 3-4 ในแดนหน้า นั่นทำให้ “จอมขมังเวท” เฟลิกซ์ มากัธ อดีตเทรนเนอร์ชาลเก กระชากตัวราอูลที่ค้าแข้งมายาวนานกับมาดริดถึง 15 ปี มาล่าตาข่ายในถิ่นเวลตินส์อารีนา ด้วยสัญญา 2 ปี

ทั้งนี้ ราอูลเกือบจะได้ย้ายไปสวมเสื้อสีแดงของแมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่เจ้าตัวก็ตัดสินใจเลือกที่จะใส่เสื้อสีน้ำเงินแทน แต่ก็ได้ คริสตอฟ เมตเซลเดอร์ อดีตเพื่อนร่วมทีมราชันชุดขาว ชักชวนมาเล่นที่เมืองเบียร์

“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พยายามที่จะเซ็นเขา (ราอูล) ไปร่วมทีม เขามาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ผู้เล่นอย่างเขาได้รับข้อเสนอมากมายจากสโมสรทั้งในสหรัฐ อังกฤษ รวมทั้งชาลเกด้วย ผมพยายามที่จะโน้มน้าวเขาให้มาร่วมทีม เขารู้จักประเทศเยอรมนีเป็นอย่างดีเมื่อครั้งมาเล่นเวิลด์คัพ 2006 และทราบดีถึงบรรยากาศในสนาม รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของประเทศด้วย ผมจึงบอกกับเขาว่า ‘คุณมีประสบการณ์กับประเทศของผมแล้วนี่’ เขาเป็นผู้เล่นชั้นนำ และความทรงอิทธิพลของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก” เมตเซลเดอร์ กล่าว

สำหรับผลงานของราอูลในฤดูกาลนี้ ลงสนามทั้งหมด 43 เกมในทุกรายการ กะซวกตาข่ายคู่แข่งได้รวม 18 ประตู โดยในจำนวนนี้ 5 ประตูเป็นการยิงในเกมลูกหนังยุโรป

กองหน้าวัย 33 ปี ปัจจุบันเป็นเจ้าของสถิติดาวซัลโวสูงสุดของถ้วยใบนี้ที่ 73 ประตู และมีโอกาสที่จะบวกสกอร์เพิ่มได้อีก หากสามารถยิงแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ในรอบรองชนะเลิศทั้ง 2 นัด เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเป็นเจ้าของสถิติลงเล่นมากที่สุดในถ้วยใบใหญ่ของยุโรปถึง 148 เกม

จากสถิติในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก สามารถบ่งบอกได้ว่าเขาคือ “มิสเตอร์แชมเปียนส์ลีก” อย่างไม่ต้องสงสัย และคงเป็นเรื่องยากมากที่จะหาใครมาทุบสถิตินี้ เพราะเขายังกระหายในชัยชนะ และยังคงเดินหน้าเพิ่มสถิติของตัวเองไปเรื่อยๆ