ชาบู ชาบู อร่อยทะลุจุดเดือด

ชาบู ชาบู หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า ชาบู เป็นอาหารญี่ปุ่นอีกประเภทหนึ่งที่คนไทยชื่นชอบไม่แพ้ซูชิ

ซึ่งชาบูจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับสุกียากี้มาก แต่ที่แตกต่างกันก็คงจะเป็นเรื่องของรสชาติและน้ำจิ้มที่ใช้รับประทานคู่กับอาหารที่แตกต่างกัน และอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ใส่ในหม้อต้มสุกียากี้ มักจะชุบไข่ก่อนลงไปต้ม ในญี่ปุ่นนั้นชาบูจะถูกจัดให้เป็นอาหารประจำฤดูหนาว แต่ตอนหลังได้รับความนิยมแพร่หลายและสามารถหารับประทานได้ทั้งปี

ประวัติความเป็นมาของชาบู ชาบู (และสุกียากี้) นั้น ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารประเภทหม้อร้อนของจีนที่เรียกว่า “ชวน ยาง ลูว” แต่ชาบูมีความใกล้เคียงกับของดั้งเดิมมากกว่า ว่ากันว่านักรบในสมัยเจงกีสข่าน เวลาเดินทางไกลหรือออกรบ ไม่สะดวกในการพกพาอุปกรณ์ปรุงอาหารทั้งหลาย จึงมักจะใช้หมวกเหล็กที่สวมใส่อยู่แทนหม้อต้มอาหาร และแล่เนื้อให้บางที่สุดเพื่อให้ปรุงสุกได้ไวในหมวกเหล็ก และยังมีการเล่าอีกว่าเจงกีสข่านเอง ก็ชอบชักชวนลูกน้องให้ร่วมฉลองหลังชนะศึกด้วยการล้อมวงรับประทานอาหารร่วมกันรอบหม้อไฟใบใหญ่ที่ใส่วัตถุดิบต่างๆ ใส่ลงไปต้มรวมกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งต่อมาญี่ปุ่นก็รับเอาวัฒนธรรมการทำอาหารแบบหม้อร้อน หรือ นาเบะโมโนะ เข้าไปและต่อมาก็กลายเป็นสุกียากี้และชาบู ชาบู

อันที่จริงแล้ว ชาบู ชาบู เพิ่งจะมาปรากฏโฉมครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อช่วงศตวรรษที่ 20 มานี้เอง เมื่อมีการเปิดร้านสไตล์ชาบูเป็นครั้งแรกในเมืองโอซากา ใช้ชื่อว่า “สุเอฮิโระ” (Suehiro) ซึ่งชื่อของ “ชาบู ชาบู” เป็นการเรียกเลียนเสียงของวิธีการเสิร์ฟอาหาร (เสียงตอนที่เกิดขึ้นตอนจุ่มเนื้อลงไปลวกในหม้อไฟที่กำลังเดือด) และต่อมาทางร้านก็ได้นำชื่อนี้ไปจดทะเบียนการค้า (Trademark) ในปี 1955 และอาหารตำรับใหม่นี้ก็ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่นและหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงเมืองไทยด้วย

การเตรียมอาหารสไตล์ชาบูนั้น ตามแบบดั้งเดิมจะใช้เนื้อวัว แต่ต่อมาก็มีการปรับเปลี่ยนไปใช้เนื้อสัตว์อย่างอื่นตามแต่วัตถุดิบที่มีหรือความชอบของคนในท้องถิ่น เช่น หมู ไก่ เป็ด หรืออาหารทะเล โดยนิยมจะเสิร์ฟคู่กับเต้าหู้และผักประเภทต่างๆ และภัตตาคารหลายแห่งก็อาจจะเพิ่มเติมเมนูแปลกๆ ลงไปเพื่อสร้างความแปลกใหม่หรือดึงดูดใจลูกค้าให้เข้าร้าน เนื้อสัตว์ที่นำไปลวกในหม้อชาบูนั้นมักนิยมแล่ให้บางเฉียบเพื่อให้สุกง่าย ซึ่งตามหลักการมักจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อสัตว์ลงไปแกว่งเร็วๆ ในน้ำเดือดสัก 34 วินาทีเพื่อให้ได้เนื้อที่สุกพอประมาณและไม่เหนียว แล้วจิ้มกับน้ำจิ้มพอนซึและน้ำจิ้มงาก่อนจะรับประทาน

อาหารสไตล์ชาบู ดูจะเหมาะกับคนรักสุขภาพอยู่มากทีเดียว เพราะทั้งผักทั้งต้ม แทบไม่ต้องมีน้ำมันส่วนเกินมาให้กวนใจคนไดเอต (แต่ก็อย่าเผลอรับประทานมากไปก็จะดี) แต่สำหรับใครที่คำนึงถึงสุขภาพแบบสองชั้น คือ ไม่อ้วนแล้วควรจะต้องปลอดสารพิษตกค้างด้วย ก็อยากจะแนะนำให้ลองไปที่ร้าน “ชาบู วันโอวัน ดีกรี (Shabu 101 degree)” ที่ชั้นใต้ดินของอาคารสีลม คอมเพล็กซ์ กันดู เพราะที่นี่เขาขึ้นชื่อเรื่องการคัดสรรวัตถุดิบปลอดสารพิษคุณภาพดีมาเสิร์ฟให้รับประทาน ทุกอย่างต้องผ่านการตรวจและรับรองมาแล้วว่าปลอดภัยแน่นอน

ไม่เพียงแค่เรื่องของคุณภาพวัตถุดิบ ที่นี่เขายังมีจุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปที่มีให้เลือกมากถึง 6 แบบ คือ “ซุปสูตร 101” เป็นสูตรพิเศษทางร้าน เป็นน้ำซุปใสต้มจากกระดูกหมูและไก่ที่เคี่ยวนานถึง 5 ชม. จนได้รสหวานกลมกล่อม หรือคนที่ชอบรับประทานรสจัดจ้าน ก็ต้องเป็น “น้ำซุปต้มยำ” ที่มีให้เลือกทั้งน้ำข้น น้ำใส รับรองจี๊ดจ๊าดถูกปากคนไทยแน่นอน “ซุปเวียดนาม” เป็นซุปหอมกลิ่นตะไคร้ ผสมกับน้ำมะพร้าวแท้ๆ เหมาะกับคนรักสมุนไพร ส่วนคนรักอาหารเกาหลี ก็มี “ซุปกิมจิ” ให้ลอง ซึ่งเจ้าของร้านลงทุนบินไปเรียนการทำมาจากเกาหลีโดยตรง เผ็ดร้อนกำลังดี ส่วนคนรักอาหารญี่ปุ่นก็ไม่น้อยหน้า มี “ซุปอูด้ง” ให้ยกซดกันเอร็ดอร่อย หรือใครรับประทานมังสวิรัติหรือเจ ก็ยังสามารถมาอิ่มอร่อยกันได้กับ “ซุปเห็ด”

ร้านนี้เขายังเอาใจคนชอบชาบูด้วยการจัดน้ำจิ้มสูตรเด็ดไว้ให้ลิ้มลองกันเพื่อรสชาติที่หลากหลาย เริ่มจากน้ำจิ้มเบสิกอย่าง พอนซึ และโกมะ (น้ำจิ้มงา) ไปจนถึงน้ำจิ้มสุกี้ น้ำจิ้มทะเล สำหรับซีฟู้ดเลิฟเวอร์ และน้ำจิ้มไต้หวัน ที่ทำจากกุ้งแห้ง อร่อยเด็ดอย่าบอกใคร เห็นอลังการแบบนี้ แต่ราคาก็เบาๆ สบายๆ แค่ 359 บาทสำหรับเวลาบุฟเฟต์ 101 นาที ที่เสิร์ฟเต็มที่ทั้งเนื้อวัว หมู ไก่ เกรดพรีเมียม และยังใจป้ำเสิร์ฟเนื้อแกะนุ่มๆ จากนิวซีแลนด์อีกต่างหาก เรียกว่าคุ้มกันสุดๆ แต่ถ้าใครไม่ถนัดบุฟเฟต์หรืออยากจะลองของแปลกใหม่ เขาก็ยังมีเมนูอะลาคาร์ตให้เลือกสั่งได้ เช่น เกี๊ยวกุ้งยักษ์ กุ้งกระบอกไม้ไผ่ หอยเชลล์ทรงเครื่องกระบอกไม้ไผ่ เป็นต้น

ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 11.0021.30 น. แต่ช่วงเย็นศุกร์เสาร์ คนจะเยอะหน่อย ควรจะโทร.จองโต๊ะที่ 026321324