พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กษัตริย์นักธุรกิจ (ตอนที่1)
จุดเปลี่ยนสยาม หรือประเทศไทย ที่กลายเป็นประเทศพัฒนา และยั่งยืนตราบเท่าปัจจุบัน ไม่มีใครปฏิเสธว่าเริ่มจากวิสัยทัศน์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทอดพระเนตรเห็นการณ์ไกล ทรงวางรากฐานการศึกษา ปูทางด้านเศรษฐกิจ ปฏิรูประบบราชการ และทรงลงทุนธุรกิจพื้นฐานให้กับประเทศชาติ ทั้งนี้เพราะทรงเป็นกษัตริย์นักธุรกิจ
จุดเปลี่ยนสยาม หรือประเทศไทย ที่กลายเป็นประเทศพัฒนา และยั่งยืนตราบเท่าปัจจุบัน ไม่มีใครปฏิเสธว่าเริ่มจากวิสัยทัศน์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทอดพระเนตรเห็นการณ์ไกล ทรงวางรากฐานการศึกษา ปูทางด้านเศรษฐกิจ ปฏิรูประบบราชการ และทรงลงทุนธุรกิจพื้นฐานให้กับประเทศชาติ ทั้งนี้เพราะทรงเป็นกษัตริย์นักธุรกิจ
โดย...สมาน สุดโต
จุดเปลี่ยนสยาม หรือประเทศไทย ที่กลายเป็นประเทศพัฒนา และยั่งยืนตราบเท่าปัจจุบัน ไม่มีใครปฏิเสธว่าเริ่มจากวิสัยทัศน์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทอดพระเนตรเห็นการณ์ไกล ทรงวางรากฐานการศึกษา ปูทางด้านเศรษฐกิจ ปฏิรูประบบราชการ และทรงลงทุนธุรกิจพื้นฐานให้กับประเทศชาติ ทั้งนี้เพราะทรงเป็นกษัตริย์นักธุรกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงครองราชย์ พ.ศ. 2411-2453
จดหมายเหตุในหนังสือพิมพ์สยามสไมย หนังสือพิมพ์ที่ศาสนาจารย์ ซามูเอล สมิธ (อเมริกัน แบบติสต์) เป็นเจ้าของและบรรณาธิการ กล่าวถึงสภาพบ้านเมือง พ.ศ. 2429 สมัยรัชกาลที่ 5 ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบารมีประเสริฐน่าอัศจรรย์ ควรชาวเราต้องชมสรรเสริญพระบารมี ตั้งแต่เสวยราชสมบัติ อาณาประชาราษฎร์มั่งมีศรีสุข เจริญไปด้วยทรัพย์สมบัติ ทวยราษฎร์ทุกวันนี้ที่นุ่งห่มแต่งตัวก็ดูหมดจด งดงามผิดกว่าแต่ก่อน
ในถนนหลวง รถม้าออกดาดดื่นไปทุกถนน ท้องน้ำก็เรือกลไฟแล่นขึ้นล่อง ออกพล่านไป
บ้านเรือนก็ล้วนแล้วไปด้วยตึก มั่งคั่งเป็นที่ศรีสง่าแก่พระนคร
เมื่อแต่ก่อนตั้งแต่วัดทองธรรมชาติลงไป ทั้งสองฟากแม่น้ำดูเป็นบ้านสวน เรือน(มุง)จากห่างๆ กัน เดี๋ยวนี้ล้วนเป็นตึก และเรือนฝากระดานคับคั่งถึงบางน้ำชน ถึงบางคอแหลม
ทางถนนบำรุงเมือง แต่ก่อนเป็นป่ารก เรือกสวน เดี๋ยวนี้เป็นตึก เป็นโรงมากแล้ว เกือบจะไม่มีที่ว่าง
บ้านเรือนในกรุงเทพทุกวันนี้ คนประกอบด้วยความมั่งมี แต่ก่อนฤาดูหนาวคราวหนึ่ง เกิดเพลิงไหม้หลายสิบตำบล เดี๋ยวนี้ไม่ใคร่มี เพราะบ้านเรือนเป็นตึกไปมาก
ผมนำจดหมายเหตุสยามสไมย เมื่อ พ.ศ. 2429 มาลงไว้เพื่อให้เห็นภาพที่ ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ รศ.ดร.กุลดา เกษบุญชูมี้ด ได้พูดถึงพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาต่อพสกนิกรชาวไทยและประเทศไทย ในการบรรยายชุดหนึ่งศตวรรษสองศึกษิตมหาราชผู้ยิ่งยง เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2554 ณ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จัดโดยหอประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ร.5 ทรงเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ
ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจเกิดขึ้นแบบถอดรูป มีข้าวเป็นรากฐานที่สำคัญ โภคทรัพย์ของประเทศเพิ่มพูนอย่างมหาศาล
ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ ไทยยังเป็นประเทศส่งออกสินค้าไม้ แร่ธาตุ เครื่องเทศ และสมุนไพร ปลายรัชสมัยของพระองค์ ไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจแห่งเกษตรกรรม ผลิตสินค้าเกษตรกรรม ส่งออกข้าวเป็นรายใหญ่รายหนึ่งของโลกในทันที
การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่ง คือ ที่เคยทำการค้ากับประเทศจีนและประเทศเพื่อนบ้าน ถึงปลายรัชสมัยการค้ากับจีนได้หดหายไป เพราะการเปลี่ยนแปลงภายในของจีน การค้ากับยุโรปและประเทศใกล้เคียงอื่นๆ เข้ามาทดแทน จะเห็นโกดังของบริษัทฝรั่งเต็มสองฝั่งเจ้าพระยา โดยเฉพาะที่อยู่ใกล้ท่าเรือ
กรุงเทพฯ สมัยต้นรัชกาลที่ 5 เป็นเพียงเมืองท่าเล็กๆ แทบจะไม่มีอะไรพิเศษเมื่อเทียบกับเมืองท่าอื่นๆ เช่น เซี่ยงไฮ้ บอมเบย์ และจาการ์ตา จนถึงปลายรัชสมัยจึงเป็นเมืองท่าที่ฟู่ฟ่า มีฐานะเคียงบ่าเคียงไหล่กับเมืองท่าใหญ่ๆ ในเอเชีย
เมื่อขึ้นครองราชย์พบว่าเงินท้องพระคลังมีเหลือไม่มาก จนกระทั่งกล่าวว่าขัดสนราชทรัพย์ สิ่งนี้เห็นได้จากพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ และกรุงเทพฯ สมัยนั้นไม่แสดงถึงความโอ่อ่า ถึงปลายรัชกาลจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
การที่พระองค์เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง ครั้งแรกใช้เวลา 8 เดือน ครั้งที่ 2 ใช้เวลา 9 เดือน ทำให้ทรงมีแนวพระราชดำริสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองหลวงสวยงาม โดยนำแบบอย่างการสร้างถนนขนาดใหญ่ สร้างอนุสาวรีย์ตามรูปแบบของเมืองหลวงในยุโรปมาประยุกต์ใช้
มีผู้พูดเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจจนเกิดความมั่งคั่งว่ามาจากสนธิสัญญาเบาว์ริง ปี 1855 หรือ พ.ศ. 2390 แท้จริงแล้วสนธิสัญญาในตัวมันเองไม่ได้สร้างอะไร สนธิสัญญาอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องใช้เวลา เพราะว่าตัวละครและสถาบันต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็ต้องมีการปรับตัว
การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจไทยได้เกิดขึ้นอีก 2 ทศวรรษต่อมาหลังจากเซ็นสัญญานี้ คือในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เอง
ตัวละครที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง คือ การส่งออกข้าว โดยมีกลุ่มที่มีส่วน 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มชาวนาชาวไร่ไทย 2.จีนอพยพที่เสี่ยงโชคมาทำงานในเมืองไทย และตัดสินใจไม่กลับบ้านเกิด โดยตั้งรกรากในไทย การอพยพคนจีนเข้ามาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ และเข้ามาเรื่อยจนถึง 1 ล้านกว่าคนในสมัยรัชกาลที่ 5
คนจีนอพยพบางคนตั้งตัวเป็นผู้ประกอบการ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานรับจ้างเรียกว่า กุลี บ้างก็ตั้งตัวเป็นนายทุนทำโรงสีข้าว ทำการค้าระหว่างชาวนา ชาวไร่ และแหล่งการค้าทั่วโลก บ้างได้ดิบได้ดีเป็นเจ้าภาษีนายอากร มาก่อร่างสร้างตัวเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำของไทย เช่น โชติกพุกกณะ พุกกณะสุต โปษยานนท์ พิศาลยบุตร พิศลยบุตร ณ ระนอง เป็นต้น
กลุ่มที่ 3 พระมหากษัตริย์และราชวงศ์ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงร่วมลงทุนในกิจการธุรกิจต่างๆ ทรงส่งเสริมระบบตลาดในประเทศไทย ทรงมีวิญญาณเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ทรงเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจข้าวในหลายรูปแบบ รวมทั้งส่งเสริมการเกิดขึ้นของชาวนาชาวไร่อิสระในระบบเศรษฐกิจข้าวสมัยใหม่
สมัยรัชกาลที่ 5 มีการปรับเปลี่ยนสถาบันที่สำคัญ ซึ่งส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจไทยด้วย นั่นคือการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งหัวใจคือการปฏิรูประบบภาษีและระบบเทศาภิบาล ซึ่งเป็นการรวมศูนย์อำนาจเก่าเข้ามาอยู่ในมือของกรุงเทพฯ การปฏิรูปอันนั้นทำให้รัฐบาลมีรายได้มาใช้จ่ายเพื่อพัฒนามากขึ้น
ที่น่าสนใจในสมัยเดียวกันนั้น มีประเทศเอเชียอีกแห่งหนึ่งที่เกิดการปฏิรูปคล้ายกับประเทศไทย นั่นคือญี่ปุ่น
คงจำ Meji Restoration หรือ Meji Revolution ที่เกิดในช่วงเดียวกับรัชกาลที่ 5 คือ พ.ศ. 2411-2455 ซึ่งรัชกาลที่ 5 ครองราชย์ พ.ศ. 2411-2453 แต่เมจิครองราชย์ถึง พ.ศ. 2455 มากกว่ารัชกาลที่ 5 เพียง 2 ปี
เมื่อสิ้น Meji จะเห็นว่าญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงมากกว่า พลิกผันเป็นประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งยุโรปต้องกริ่งเกรงเมื่อมาถึงจุดนั้น ญี่ปุ่นรบชนะทั้งรัสเซียและจีน พร้อมกับสถาปนาระบอบประชาธิปไตย อันมีรัฐสภาและพรรคการเมืองเป็นองค์กรสำคัญมาตั้งแต่ พ.ศ. 2432
อาจารย์ผาสุก บอกว่า การบรรยายของท่านเพื่อวิเคราะห์กระบวนการบุกเบิกความเป็นอิสระของชาวนาชาวไร่ของไทย และบทบาทของพระมหา กษัตริย์ไทย คือ รัชกาลที่ 5 ในฐานะที่ทรงเป็นกษัตริย์นักธุรกิจ
เรื่องที่อาจารย์บรรยายแตกต่างจากที่เคยรับรู้เกี่ยวกับพระองค์ในอดีต โดยจะแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 4 เรื่อง คือ 1.การเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ 5 2.บทบาทชาวนาผู้บุกเบิก 3.บทบาทพระมหากษัตริย์นักธุรกิจ 4.เปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยกับบางประเทศในเอเชียในสมัยเดียวกัน
1.การเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ 5 จะพบว่า GDP เพิ่ม 1 เท่าตัว จาก 5,600 ล้านบาท เป็น 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเยอะในสมัยนั้นมาก
ขณะที่ GDP เพิ่ม 1 เท่าตัว รายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น 10 เท่าตัว จาก 7.4 ล้านบาท เป็น 14.4 ล้านบาท เป็นผลจากการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน
อาจารย์ผาสุก พาไปดูว่ารัฐเก็บภาษีจากอะไรบ้าง เพราะจะบอกให้ทราบถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้วย
ภาษีทางตรง เช่น ภาษีที่ดิน ค่ารัชชูปการ หรือภาษีค่าหัวปีละ 68 บาท ต่อมาค่ารัชชูปการมีปัญหามาก เพราะเป็นเงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว จึงมีกบฏเกิดขึ้น 2 ครั้ง ที่อีสาน 1 ครั้ง เรียกว่า กบฏผีบุญ ภาคใต้ 1 ครั้ง จึงต้องลดค่ารัชชูปการเหลือ 6 บาท/ปี ถึงกระนั้นค่ารัชชูปการ พ.ศ. 2435 อันเป็นปีที่เริ่มปฏิรูประบบภาษี เก็บได้ 2.9% ของภาษีทั้งหมด
ปลายรัชกาลเพิ่มเป็น 1 ใน 5 ภาษีที่ดินเพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 11% ภาษีทางอ้อมที่สำคัญ คือ สินค้าออก สินค้าเข้า โดยรวมแล้วก็เท่ากับ 1 ใน 5
อากรบ่อนเบี้ยลดลงไป แต่จำนวนเงินไม่ลด แต่สัดส่วนลดลง
อาจารย์ผาสุก ว่าที่น่าสนใจ คือ ภาษีฝิ่น และภาษีขาเข้า ขาออก ซึ่งถูกจำกัดที่อัตราร้อยละ 3 ตามสนธิสัญญา ถ้าหากไม่ได้จำกัด คงได้มากกว่านี้ เพราะการผลิตภาคอุตสาหกรรมของเราเกือบไม่มีเลยในสมัยนั้น ต้องนำเข้าจากต่างประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะผ้า (สิ่งทอ) และอื่นๆ
อันนี้แสดงให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงในสมัยต่อมา พระราชวงศ์ทรงพระองค์โอ่อ่า กรุงเทพฯ อลังการขึ้น จะเห็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์เปลี่ยนไปจากยุคต้น โดยเฉพาะภูษาภรณ์ (ที่งดงามยิ่ง)


