พระไพรีพินาศ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บารมี รัชกาลที่4
ผมว่าหลายท่านคงมีโอกาสบูชาพระไพรีพินาศทั้งองค์จริงที่วัดบวรนิเวศวิหาร และองค์จำลอง รวมทั้งเหรียญขนาดเล็กที่จัดสร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนเช่าไปบูชากันไม่มากก็น้อย....
ผมว่าหลายท่านคงมีโอกาสบูชาพระไพรีพินาศทั้งองค์จริงที่วัดบวรนิเวศวิหาร และองค์จำลอง รวมทั้งเหรียญขนาดเล็กที่จัดสร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนเช่าไปบูชากันไม่มากก็น้อย....
โดย...สมาน สุดโต
ผมว่าหลายท่านคงมีโอกาสบูชาพระไพรีพินาศทั้งองค์จริงที่วัดบวรนิเวศวิหาร และองค์จำลอง รวมทั้งเหรียญขนาดเล็กที่จัดสร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนเช่าไปบูชากันไม่มากก็น้อย
ทำไมจึงเป็นพระไพรีพินาศ ชื่อก็ทำให้เข้าใจว่า ใครมีพระองค์นี้บูชา ศัตรูคู่อาฆาตจะต้องย่อยยับ (น่าส่งไปให้ทหารที่รบชายแดนไทย-เขมร และประชาชน ทหาร และชาวไทยพุทธใน 3 จังหวัดภาคใต้เหลือเกิน)
พระไพรีพินาศ องค์จริงตั้งอยู่ที่พระมหาเจดีย์สีทอง ด้านหลังพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ทางวัดจะเปิดให้คนที่ศรัทธาขึ้นไปกราบไหว้บูชาเฉพาะในวันพิเศษและสำคัญๆ ไม่กี่วันเท่านั้น คือวันสมภพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ตรงกับวันที่ 3 ต.ค. ทุกปี วันฉลองปีใหม่ 31 ธ.ค. และ 1 ม.ค. และวันสงกรานต์ 13 เม.ย. เป็นต้น
ที่ประดิษฐานพระไพรีพินาศเป็นเก๋งขนาดพอองค์พระอยู่ในกำแพงชั้นที่ 2 ของพระเจดีย์ประธานวัดบวรนิเวศวิหาร ปัจจุบันมีลูกกรงเหล็กติดตั้งไว้แน่นหนาเพื่อความปลอดภัย
ความเป็นมาของพระไพรีพินาศนั้น ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม นักประวัติศาสตร์ ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเรียบเรียงโดย ขจร สุขพานิช มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย พิมพ์จำหน่าย พ.ศ. 2497 ราคาเล่มละ 5 บาท
ณัฐวุฒิ ปรมาจารย์ เดินเรื่องพระไพรีพินาศว่า เจ้าหน้าที่จัดสร้าง (หล่อ) พระพุทธไพรีพินาศเป็นที่ระลึกในงานสมโภชฉลองพระชนมายุ 80 กาลฝนบริบูรณ์ ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (วชิรญาณวงศ์) วันที่ 21-23 พ.ย. 2495
พระพุทธไพรีพินาศที่หล่อมีขนาดต่างๆ เป็นพระกริ่งก็มี พระบูชาก็มี ส่วนขนาดใหญ่สุดที่ได้จัดสร้างขึ้น ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวม 2 องค์ ขนาดย่อมลงมา สำหรับผู้มีจิตศรัทธาที่ใคร่จะได้ไปสักการบูชาเป็นการส่วนตัว
คุณณัฐวุฒิสนใจความเป็นมาของพระพุทธไพรีพินาศ จึงค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่าพระพุทธรูปองค์นี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และพระราชพงศาวดาร รัชกาล 2-3 และรัชกาลที่ 4 และเกี่ยวเนื่องกับบุญญานุภาพ และพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ขณะที่ทรงผนวชในสมัยรัชกาลที่ 3
ณัฐวุฒิออกตัวไว้ก่อนว่า การเขียนเรื่องนี้กระทบกับบุคคลและราชสกุลบางสกุล แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพราะเป็นประวัติศาสตร์ และมิได้เจตนาใส่ร้ายด้วยความเป็นมาพระพุทธไพรีพินาศยาวมากและซับซ้อนพอสมควร
ณัฐวุฒิอ้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญมาเล่าเรื่องพระไพรีพินาศ คือ สาสน์สมเด็จภาค 4 พิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพ หม่อมเจิม ดิศกุล ณ อยุธยา ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 15 ส.ค. 2493
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเขียนในสาสน์สมเด็จลงวันที่ 5 มี.ค. 2477 ว่า
มีเรื่องจะทูลถวาย (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) เรื่องหนึ่ง คือ เมื่อวันที่ 1 เดือนนี้ (มี.ค. 2477) สมเด็จพระพันวัสสา ทรงบำเพ็ญพระกุศล พระชนม์เสมอ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า โดยทำบุญเลี้ยงพระที่วัดพระเชตุพน การเลี้ยงพระนั้นได้แยกถวายโต๊ะฝรั่งสำหรับพระสงฆ์ที่เป็นราชวงศ์ จึงมีโอกาสได้สนทนากับพระทั้งนั้น (ครั้งนั้น) สมเด็จพระวชิรญาณ ตั้งปัญหาถาม (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ว่า พระไพรีพินาศ เป็นพระอะไร มาแต่ไหน ทำไมจึงมาอยู่วัดบวรนิเวศน์ เหตุใดจึงชื่อว่าไพรีพินาศ สมเด็จกรมพระยาดำรงทูล (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ) ว่า เกล้ากระหม่อมหงายท้อง ไม่สามารถตอบได้
ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีลายพระหัตถ์ตอบสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลงวันที่ 10 มี.ค. 2477 ทรงกล่าวตอนหนึ่งถึงเรื่องพระพุทธไพรีพินาศว่า
“หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ฉบับลงวันที่ 5 ขอทูลสนองความเรื่องพระพุทธไพรีพินาศ ที่อยู่วัดบวรนิเวศน์ หม่อมฉันได้ไปพิจารณาดูองค์พระพุทธรูปนั้น เป็นพระพุทธรูปศิลาแบบมหายาน ปางนั่งประทานอภัย คือเหมือนพระมารวิชัย แต่หงายพระหัตถ์ขวา หม่อมฉันเคยพบเรื่องในประกาศพระราชพิธีจรว่า ทูลกระหม่อมทรงบำเพ็ญพระราชกุศล “ผ่อนพ้นไพรี” เมื่อปีฉลู พ.ศ. 2396 (ปีที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสมภาพ) ความในประกาศนั้น กับพระนามพระพุทธรูปบ่งชัดว่า บำเพ็ญพระราชกุศลด้วยพ้นภัยจากหม่อมไกรสร พระพุทธรูปองค์นี้ทูลกระหม่อมเห็นจะทรงได้ไว้แต่ยังทรงผนวชใกล้ๆ กับเวลากำจัดหม่อมไกรสร จึงทรงถือเป็นนิมิต เดิมเห็นจะเอาไว้ที่อื่น ที่โปรดฯ ให้สร้างเก๋งประดิษฐานพระพุทธรูปองค์นั้นไว้ที่พระเจดีย์วัดบวรนิเวศน์ เห็นจะเป็นตอนปลายรัชกาลที่ 4 หม่อมฉันนึกจำได้เป็นเงาๆ ว่า เมื่อหม่อมฉันบวชเณร เก๋งนั้นยังไม่แล้ว ท่านก็เสด็จประทับอยู่วัดนั้น เมื่อทรงผนวชจะทรงจำได้บ้างดอกกระมัง แต่พระพุทธรูปองค์นี้จะมีใครถวาย หรือจะทรงได้มาจากไหนไม่ทราบ”
บุคคลที่พระจอมเกล้าฯ เห็นว่าเป็นไพรีต่อพระองค์คือหม่อมไกรสร ซึ่งเป็นคู่รักคู่แค้นตั้งแต่ก่อนพระจอมเกล้าฯ ผนวช และขณะทรงผนวช
หม่อมไกรสร คือ กรมหลวงรักษรณเรศ มี|พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าไกรสร ประสูติเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2334 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 33 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงรับราชการเติบโตมาตามลำดับจนกระทั่งกำกับกรมสังฆการี ปี 2359 (ร.2) เคยรับการชำระอธิกรณ์พระผู้ใหญ่ 3 รูปที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปาราชิกมานานถึงกับมีบุตรหลายคน ทั้ง 3 รูปนั้นคือ พระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) วัดมหาธาตุ พระญาณสมโพธิ์ (เค็ม) วัดนาคกลาง และพระมงคลเทพมุนี (จีน) วัดหน้าพระเมรุ อยุธยา เมื่อชำระโทษได้ความนำมาสึกและจำคุก งานนี้ได้ทรงทำร่วมกับกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือรัชกาลที่ 3) ผลงานชิ้นนั้น มีบัตรสนเท่ห์แต่งเป็นโคลง กล่าวหยาบช้าต่อหม่อมไกรสร และกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ตลอดถึงราชการแผ่นดินว่า
ไกรสรพระเสด็จได้ สึกชี
กรมเจษฎาบดี เร่งไม้
พิเรนทรแม่นอเวจี ไม่คลาด
อาจพลิกแผ่นดินได้ แม่นแม้น เมืองทมิฬ
ผู้เขียนโคลงบทนี้เป็นพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นศรีสุเรนทร์จินตกวี พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 2 จึงให้จับมาขังคุก และตรอมพระทัยตายในคุกนั่นเอง
ในช่วงปลายรัชกาลที่ 2 มีผู้ไปหลอกพระจอมเกล้าฯ ที่ทรงผนวชไม่นาน และไปประทับที่วัดราชาธิวาสว่า รัชกาลที่ 2 ให้เข้าเฝ้าจึงเสด็จมา กลายเป็นเรื่องหลอกให้เก้อ แต่คนที่หลอกมานิมนต์ไปอยู่|ที่โบสถ์วัดพระแก้ว ให้ประทับที่นั่น (ขังไว้) 7 วัน จนกระทั่งรัชกาลที่ 3 เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แล้ว จึงนิมนต์จากวัดพระแก้วกลับไปวัดสมอรายเหมือนเดิม
พระจอมเกล้าฯ ขณะทรงผนวช เป็นพระนักศึกษาภาษาบาลี วันหนึ่งทรงเข้าแปลในพระอุโบสถวัดพระแก้ว โดยพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลกฯ ทำการสอบ พระจอมเกล้าฯ ทรงแปลผ่านประโยค 3-4-5 ตลอด วันที่ 3 หม่อมไกรสร ซึ่งเป็นกรมหลวงฯ กำกับกรมธรรมการถามพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) ว่า นี่จะปล่อยกันไปถึงไหน พระจอมเกล้าฯ ได้ฟังเกิดน้อยพระทัย หยุดสอบแต่บัดนั้น จึงเป็นอันว่าพระจอมเกล้าฯ สอบไล่ได้ประโยค 5 ต่อมา รัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้ถือพัดประโยค 9 และทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระราชาคณะ
รวบรัดตัดความว่าพระจอมเกล้าฯ ประทับวัดสมอรายระยะหนึ่ง รัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้เสด็จมาประทับวัดบวรนิเวศน์ใกล้หม่อมไกรสรเข้าไปอีก จึงถูกรบกวนง่ายขึ้น นอกจากจับพระสุเมธมุนี พระอุปัชฌาย์ พระจอมเกล้าฯ สึกแล้ว ยังเคยให้คนแกล้งหุงข้าวต้มร้อนๆ ใส่บาตรพระธรรมยุตที่ปกติจะต้องอุ้มบาตรให้ได้รับความเดือดร้อน เรื่องนี้สร้างความระกำพระทัยแก่พระจอมเกล้าฯ ยิ่งนัก
ณัฐวุฒิ บรรยายว่า ในที่สุดธรรมชนะอธรรม หม่อมไกรสรถูกกล่าวโทษร้ายแรง เช่น ชำระความไม่ยุติธรรมกดขี่ข่มเหง และทำเลียนแบบในหลวงองค์ก่อน เช่น ไปลอยกระทงกรุงเก่าบ้าง ที่นครเขื่อนขันบ้าง สมคบกับพวกละครไม่บรรทมกับหม่อมห้าม (เพราะติดดาราละคร) มีพฤติกรรมน่ารังเกียจหลายอย่างทางด้านกามารมณ์ ที่ร้ายแรงคือ ถูกกล่าวหาว่าเกลี้ยกล่อมเจ้านายขุนนางไว้เป็นพวกมาก จะคิดกบฏหรือ นอกจากนั้นถูกกล่าวหาว่านำเงินวัดพระพุทธบาทไปหลายสิบช่างใน 1 ปี จะเลี้ยงไว้ไม่ได้ จึงให้สำเร็จโทษและถอดจากกรมหลวง ให้เรียกชื่อว่า หม่อมไกรสร ลงพระราชอาญา สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2391 ขณะอายุ 58 ปี ส่วนบ่าว 3 คน นำไปประหารชีวิตที่สำเหร่ในวันเดียวกัน
“ไพรี” ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นทรงผนวชอยู่ ณ วัดบวรนิเวศน์ก็ได้พินาศลงด้วยประการฉะนี้ และเรื่องราวระหว่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับหม่อมไกรสรดังกล่าวมาแล้วนี้ นับเป็นเบื้องหลังและเป็นที่มาของพระนามของพระพุทธรูปที่เรียกว่า “พระพุทธไพรีพินาศ” เพราะในระยะใกล้ๆ กับเวลาที่หม่อมไกรสรถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์นี้เอง พระพุทธไพรีพินาศ ก็ได้เสด็จมาสู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังปรากฏใน “สาสน์สมเด็จ” ดังได้กล่าวมาแล้ว
หลักฐานที่ค้นพบนามของพระพุทธรูปองค์สำคัญนี้ว่า “พระไพรีพินาศ” นั้นเป็นกระดาษพับสอดไว้ใต้ฐาน มีอักษรเขียนว่า “พระสถูปเจดีย์ศิลาบัลลังก์องค์ จงมีนามว่าพระไพรีพินาศ เทอญ” และอีกด้านเขียนว่า “เพราะตั้งแต่ทำมาแล้ว คนไพรีก็วุ่นวายยับเยินไปโดยลำดับ” หลักฐานดังกล่าวได้ค้นพบเมื่อวันจันทร์ที่ 30 พ.ย. 2507 ระหว่างซ่อมแซมพระเจดีย์ 96 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร


