posttoday

พระไพรีพินาศ พระพุทธรูปสักดิ์สิทธิ์คู่บารมี รัชการที่ 4

06 มีนาคม 2554

ผมว่าหลายท่านคงมีโอกาสบูชาพระไพรีพินาศทั้งองค์จริงที่วัดบวรนิเวศวิหาร และองค์จำลอง รวมทั้งเหรียญขนาดเล็กที่จัดสร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนเช่าไปบูชากันไม่มากก็น้อย

ผมว่าหลายท่านคงมีโอกาสบูชาพระไพรีพินาศทั้งองค์จริงที่วัดบวรนิเวศวิหาร และองค์จำลอง รวมทั้งเหรียญขนาดเล็กที่จัดสร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนเช่าไปบูชากันไม่มากก็น้อย

โดย...สมาน สุดโต

พระไพรีพินาศ พระพุทธรูปสักดิ์สิทธิ์คู่บารมี รัชการที่ 4

ผมว่าหลายท่านคงมีโอกาสบูชาพระไพรีพินาศทั้งองค์จริงที่วัดบวรนิเวศวิหาร และองค์จำลอง รวมทั้งเหรียญขนาดเล็กที่จัดสร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนเช่าไปบูชากันไม่มากก็น้อย

ทำไมจึงเป็นพระไพรีพินาศ ชื่อก็ทำให้เข้าใจว่า ใครมีพระองค์นี้บูชา ศัตรูคู่อาฆาตจะต้องย่อยยับ (น่าส่งไปให้ทหารที่รบชายแดนไทยเขมร และประชาชน ทหาร และชาวไทยพุทธใน 3 จังหวัดภาคใต้เหลือเกิน)

พระไพรีพินาศ องค์จริงตั้งอยู่ที่พระมหาเจดีย์สีทอง ด้านหลังพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ทางวัดจะเปิดให้คนที่ศรัทธาขึ้นไปกราบไหว้บูชาเฉพาะในวันพิเศษและสำคัญๆ ไม่กี่วันเท่านั้น คือวันสมภพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ตรงกับวันที่ 3 ต.ค. ทุกปี วันฉลองปีใหม่ 31 ธ.ค. และ 1 ม.ค. และวันสงกรานต์ 13 เม.ย. เป็นต้น

ที่ประดิษฐานพระไพรีพินาศเป็นเก๋งขนาดพอองค์พระอยู่ในกำแพงชั้นที่ 2 ของพระเจดีย์ประธานวัดบวรนิเวศวิหาร ปัจจุบันมีลูกกรงเหล็กติดตั้งไว้แน่นหนาเพื่อความปลอดภัย

ความเป็นมาของพระไพรีพินาศนั้น ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม นักประวัติศาสตร์ ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเรียบเรียงโดย ขจร สุขพานิช มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย พิมพ์จำหน่าย พ.ศ. 2497 ราคาเล่มละ 5 บาท

ณัฐวุฒิ ปรมาจารย์ เดินเรื่องพระไพรีพินาศว่า เจ้าหน้าที่จัดสร้าง (หล่อ) พระพุทธไพรีพินาศเป็นที่ระลึกในงานสมโภชฉลองพระชนมายุ 80 กาลฝนบริบูรณ์ ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (วชิรญาณวงศ์) วันที่ 2123 พ.ย. 2495

พระพุทธไพรีพินาศที่หล่อมีขนาดต่างๆ เป็นพระกริ่งก็มี พระบูชาก็มี ส่วนขนาดใหญ่สุดที่ได้จัดสร้างขึ้น ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวม 2 องค์ ขนาดย่อมลงมา สำหรับผู้มีจิตศรัทธาที่ใคร่จะได้ไปสักการบูชาเป็นการส่วนตัว

คุณณัฐวุฒิสนใจความเป็นมาของพระพุทธไพรีพินาศ จึงค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่าพระพุทธรูปองค์นี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และพระราชพงศาวดาร รัชกาล 23 และรัชกาลที่ 4 และเกี่ยวเนื่องกับบุญญานุภาพ และพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ขณะที่ทรงผนวชในสมัยรัชกาลที่ 3

ณัฐวุฒิออกตัวไว้ก่อนว่า การเขียนเรื่องนี้กระทบกับบุคคลและราชสกุลบางสกุล แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพราะเป็นประวัติศาสตร์ และมิได้เจตนาใส่ร้ายด้วยความเป็นมาพระพุทธไพรีพินาศยาวมากและซับซ้อนพอสมควร

ณัฐวุฒิอ้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญมาเล่าเรื่องพระไพรีพินาศ คือ สาสน์สมเด็จภาค 4 พิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพ หม่อมเจิม ดิศกุล ณ อยุธยา ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 15 ส.ค. 2493

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเขียนในสาสน์สมเด็จลงวันที่ 5 มี.ค. 2477 ว่า

มีเรื่องจะทูลถวาย (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) เรื่องหนึ่ง คือ เมื่อวันที่ 1 เดือนนี้ (มี.ค. 2477) สมเด็จพระพันวัสสา ทรงบำเพ็ญพระกุศล พระชนม์เสมอ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า โดยทำบุญเลี้ยงพระที่วัดพระเชตุพน การเลี้ยงพระนั้นได้แยกถวายโต๊ะฝรั่งสำหรับพระสงฆ์ที่เป็นราชวงศ์ จึงมีโอกาสได้สนทนากับพระทั้งนั้น (ครั้งนั้น) สมเด็จพระวชิรญาณ ตั้งปัญหาถาม (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ว่า พระไพรีพินาศ เป็นพระอะไร มาแต่ไหน ทำไมจึงมาอยู่วัดบวรนิเวศน์ เหตุใดจึงชื่อว่าไพรีพินาศ สมเด็จกรมพระยาดำรงทูล (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ) ว่า เกล้ากระหม่อมหงายท้อง ไม่สามารถตอบได้

ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีลายพระหัตถ์ตอบสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลงวันที่ 10 มี.ค. 2477 ทรงกล่าวตอนหนึ่งถึงเรื่องพระพุทธไพรีพินาศว่า

 

พระไพรีพินาศ พระพุทธรูปสักดิ์สิทธิ์คู่บารมี รัชการที่ 4

“หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ฉบับลงวันที่ 5 ขอทูลสนองความเรื่องพระพุทธไพรีพินาศ ที่อยู่วัดบวรนิเวศน์ หม่อมฉันได้ไปพิจารณาดูองค์พระพุทธรูปนั้น เป็นพระพุทธรูปศิลาแบบมหายาน ปางนั่งประทานอภัย คือเหมือนพระมารวิชัย แต่หงายพระหัตถ์ขวา หม่อมฉันเคยพบเรื่องในประกาศพระราชพิธีจรว่า ทูลกระหม่อมทรงบำเพ็ญพระราชกุศล “ผ่อนพ้นไพรี” เมื่อปีฉลู พ.ศ. 2396 (ปีที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสมภาพ) ความในประกาศนั้น กับพระนามพระพุทธรูปบ่งชัดว่า บำเพ็ญพระราชกุศลด้วยพ้นภัยจากหม่อมไกรสร พระพุทธรูปองค์นี้ทูลกระหม่อมเห็นจะทรงได้ไว้แต่ยังทรงผนวชใกล้ๆ กับเวลากำจัดหม่อมไกรสร จึงทรงถือเป็นนิมิต เดิมเห็นจะเอาไว้ที่อื่น ที่โปรดฯ ให้สร้างเก๋งประดิษฐานพระพุทธรูปองค์นั้นไว้ที่พระเจดีย์วัดบวรนิเวศน์ เห็นจะเป็นตอนปลายรัชกาลที่ 4 หม่อมฉันนึกจำได้เป็นเงาๆ ว่า เมื่อหม่อมฉันบวชเณร เก๋งนั้นยังไม่แล้ว ท่านก็เสด็จประทับอยู่วัดนั้น เมื่อทรงผนวชจะทรงจำได้บ้างดอกกระมัง แต่พระพุทธรูปองค์นี้จะมีใครถวาย หรือจะทรงได้มาจากไหนไม่ทราบ”

บุคคลที่พระจอมเกล้าฯ เห็นว่าเป็นไพรีต่อพระองค์คือหม่อมไกรสร ซึ่งเป็นคู่รักคู่แค้นตั้งแต่ก่อนพระจอมเกล้าฯ ผนวช และขณะทรงผนวช

หม่อมไกรสร คือ กรมหลวงรักษรณเรศ มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าไกรสร ประสูติเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2334 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 33 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงรับราชการเติบโตมาตามลำดับจนกระทั่งกำกับกรมสังฆการี ปี 2359 (ร.2) เคยรับการชำระอธิกรณ์พระผู้ใหญ่ 3 รูปที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปาราชิกมานานถึงกับมีบุตรหลายคน ทั้ง 3 รูปนั้นคือ พระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) วัดมหาธาตุ พระญาณสมโพธิ์ (เค็ม) วัดนาคกลาง และพระมงคลเทพมุนี (จีน) วัดหน้าพระเมรุ อยุธยา เมื่อชำระโทษได้ความนำมาสึกและจำคุก งานนี้ได้ทรงทำร่วมกับกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือรัชกาลที่ 3) ผลงานชิ้นนั้น มีบัตรสนเท่ห์แต่งเป็นโคลง กล่าวหยาบช้าต่อหม่อมไกรสร และกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ตลอดถึงราชการแผ่นดินว่า

ไกรสรพระเสด็จได้ สึกชี

กรมเจษฎาบดี เร่งไม้

พิเรนทรแม่นอเวจี ไม่คลาด

อาจพลิกแผ่นดินได้ แม่นแม้น เมืองทมิฬ

ผู้เขียนโคลงบทนี้เป็นพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นศรีสุเรนทร์จินตกวี พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 2 จึงให้จับมาขังคุก และตรอมพระทัยตายในคุกนั่นเอง

ในช่วงปลายรัชกาลที่ 2 มีผู้ไปหลอกพระจอมเกล้าฯ ที่ทรงผนวชไม่นาน และไปประทับที่วัดราชาธิวาสว่า รัชกาลที่ 2 ให้เข้าเฝ้าจึงเสด็จมา กลายเป็นเรื่องหลอกให้เก้อ แต่คนที่หลอกมานิมนต์ไปอยู่ที่โบสถ์วัดพระแก้ว ให้ประทับที่นั่น (ขังไว้) 7 วัน จนกระทั่งรัชกาลที่ 3 เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แล้ว จึงนิมนต์จากวัดพระแก้วกลับไปวัดสมอรายเหมือนเดิม

พระจอมเกล้าฯ ขณะทรงผนวช เป็นพระนักศึกษาภาษาบาลี วันหนึ่งทรงเข้าแปลในพระอุโบสถวัดพระแก้ว โดยพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลกฯ ทำการสอบ พระจอมเกล้าฯ ทรงแปลผ่านประโยค 345 ตลอด วันที่ 3 หม่อมไกรสร ซึ่งเป็นกรมหลวงฯ กำกับกรมธรรมการถามพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) ว่า นี่จะปล่อยกันไปถึงไหน พระจอมเกล้าฯ ได้ฟังเกิดน้อยพระทัย หยุดสอบแต่บัดนั้น จึงเป็นอันว่าพระจอมเกล้าฯ สอบไล่ได้ประโยค 5 ต่อมา รัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้ถือพัดประโยค 9 และทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระราชาคณะ

รวบรัดตัดความว่าพระจอมเกล้าฯ ประทับวัดสมอรายระยะหนึ่ง รัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้เสด็จมาประทับวัดบวรนิเวศน์ใกล้หม่อมไกรสรเข้าไปอีก จึงถูกรบกวนง่ายขึ้น นอกจากจับพระสุเมธมุนี พระอุปัชฌาย์ พระจอมเกล้าฯ สึกแล้ว ยังเคยให้คนแกล้งหุงข้าวต้มร้อนๆ ใส่บาตรพระธรรมยุตที่ปกติจะต้องอุ้มบาตรให้ได้รับความเดือดร้อน เรื่องนี้สร้างความระกำพระทัยแก่พระจอมเกล้าฯ ยิ่งนัก

ณัฐวุฒิ บรรยายว่า ในที่สุดธรรมชนะอธรรม หม่อมไกรสรถูกกล่าวโทษร้ายแรง เช่น ชำระความไม่ยุติธรรมกดขี่ข่มเหง และทำเลียนแบบในหลวงองค์ก่อน เช่น ไปลอยกระทงกรุงเก่าบ้าง ที่นครเขื่อนขันบ้าง สมคบกับพวกละครไม่บรรทมกับหม่อมห้าม (เพราะติดดาราละคร) มีพฤติกรรมน่ารังเกียจหลายอย่างทางด้านกามารมณ์ ที่ร้ายแรงคือ ถูกกล่าวหาว่าเกลี้ยกล่อมเจ้านายขุนนางไว้เป็นพวกมาก จะคิดกบฏหรือ นอกจากนั้นถูกกล่าวหาว่านำเงินวัดพระพุทธบาทไปหลายสิบช่างใน 1 ปี จะเลี้ยงไว้ไม่ได้ จึงให้สำเร็จโทษและถอดจากกรมหลวง ให้เรียกชื่อว่า หม่อมไกรสร ลงพระราชอาญา สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2391 ขณะอายุ 58 ปี ส่วนบ่าว 3 คน นำไปประหารชีวิตที่สำเหร่ในวันเดียวกัน

“ไพรี” ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นทรงผนวชอยู่ ณ วัดบวรนิเวศน์ก็ได้พินาศลงด้วยประการฉะนี้ และเรื่องราวระหว่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับหม่อมไกรสรดังกล่าวมาแล้วนี้ นับเป็นเบื้องหลังและเป็นที่มาของพระนามของพระพุทธรูปที่เรียกว่า “พระพุทธไพรีพินาศ” เพราะในระยะใกล้ๆ กับเวลาที่หม่อมไกรสรถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์นี้เอง พระพุทธไพรีพินาศ ก็ได้เสด็จมาสู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังปรากฏใน “สาสน์สมเด็จ” ดังได้กล่าวมาแล้ว

หลักฐานที่ค้นพบนามของพระพุทธรูปองค์สำคัญนี้ว่า “พระไพรีพินาศ” นั้นเป็นกระดาษพับสอดไว้ใต้ฐาน มีอักษรเขียนว่า “พระสถูปเจดีย์ศิลาบัลลังก์องค์ จงมีนามว่าพระไพรีพินาศ เทอญ” และอีกด้านเขียนว่า “เพราะตั้งแต่ทำมาแล้ว คนไพรีก็วุ่นวายยับเยินไปโดยลำดับ” หลักฐานดังกล่าวได้ค้นพบเมื่อวันจันทร์ที่ 30 พ.ย. 2507 ระหว่างซ่อมแซมพระเจดีย์ 96 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร

 

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ซันเดอร์แลนด์ พบ นิวคาสเซิ่ล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68