สานจิตร่วมอุดมการณ์ธรรม ขับเคลื่อนกงล้ออายุ พระพุทธศาสนา เนื่องใน วันมาฆบูชาปี’๕๔ (ตอน ๙)
ปุจฉา : ๑.ขอทราบความหมาย ความสำคัญที่แท้จริงของวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทปาฏิโมกข์
ปุจฉา : ๑.ขอทราบความหมาย ความสำคัญที่แท้จริงของวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทปาฏิโมกข์
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
ปุจฉา : ๑.ขอทราบความหมาย ความสำคัญที่แท้จริงของวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทปาฏิโมกข์
๒.จะมีความสำคัญต่อการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในชมพูทวีปอย่างไร และ/หรือจะมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนาอย่างไร
ขอนมัสการมาด้วยความเคารพ
รจนา วานิช
วิสัชนา :
จากที่อาตมายกขึ้นนำมากล่าว เพื่อเสริมความรู้ให้ท่านผู้ใคร่ในการศึกษาได้เข้าใจถึงความอัศจรรย์ของพระธรรมวินัย ที่เปิดเผย ชัดเจน และมีจุดมุ่งหมายที่มั่นคง แน่วแน่ ดังปรากฏอยู่ในพระโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์พิเศษ หรือธรรมพิเศษในพระพุทธศาสนาว่า มีความอัศจรรย์ยิ่งนัก เพื่อความศรัทธายิ่ง จึงขอเพิ่มเติมความรู้ในส่วนของการฟังพระโอวาทปาฏิโมกข์ว่า ทรงยุติการประทานด้วยพระองค์เองไปเมื่อใดและทำไม ต่อมาจึงทรงประทานพุทธานุญาตให้พระสงฆ์กระทำสังฆกรรมฟังอาณาโอวาทปาฏิโมกข์แทน ที่เรียกว่า ภิกขุปาฏิโมกข์ ทุกกึ่งเดือน พระสงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปอยู่พรั่งพร้อมกัน จะต้องฟังสวดพระปาฏิโมกข์ อันมีสิกขาบทน้อยใหญ่รวมแล้ว ๒๒๗ สิกขาบท หรือที่เรียกว่า ศีล ๒๒๗ ของพระสงฆ์
ดังนั้น จากพระคาถาที่ ๒ ที่กล่าวเป็นบาลีว่า
สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
ซึ่งแปลว่า
๑.การไม่ทำชั่ว
๒.ทำความดี
๓.ทำใจให้ผ่องใส
ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นหลักการในพระพุทธศาสนา ที่แสดงถึงความเป็นเอกภาพอันชัดเจนของพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนาที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ดังที่ได้กล่าวมา...
สำหรับในพระคาถาที่ ๓ กับกึ่งคาถา ตอนสุดท้ายของพระโอวาทปาฏิโมกข์นั้น ดังที่กล่าวว่า
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
แปลว่า การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย
ความสำรวมในปาฏิโมกข์
ความเป็นผู้รู้ประมาณในอาหาร
ที่นั่งที่นอนอันสงัด การประกอบความเพียรในจิตให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป
นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ในพระคาถาที่ ๓ หรือบทสุดท้ายในพระโอวาทปาฏิโมกข์นี้ เป็นพุทธดำรัสให้พระสงฆ์ที่ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาว่า ควรจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร จะดำเนินชีวิตอย่างไร และมีข้อวัตรปฏิบัติอย่างไร จึงควรแก่ฐานะของความเป็นพระสงฆ์สาวกในพระพุทธศาสนา ที่น่าศรัทธาเลื่อมใส โดยในพระคาถาที่ ๓ นี้มีข้อปฏิบัติ ๖ ประการ ที่พระสงฆ์และศาสนิกชนควรศึกษาให้รู้เข้าใจถึงความสำคัญทรงคุณค่า เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติอย่างมีความศรัทธามั่นคง เที่ยงแท้ เพื่อการก้าวไปให้ถึงอุดมการณ์ อันมีจุดมุ่งหมายสูงสุดเพื่อพระนิพพาน โดยมีหลักการหรือกรอบแบบแผนการปฏิบัติอยู่ ๓ ข้อ บนวิธีการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง และพัฒนาตนให้มีคุณภาพ คุณธรรม หรือคุณความดีที่เป็นประโยชน์ตน และเพื่อเกื้อประโยชน์แก่สังคม ดังเช่น
การไม่กล่าวร้าย : อนูปวาโท
การไม่ทำร้าย : อนูปฆาโต
ซึ่งจาก ๒ ข้อดังกล่าวนั้น เป็นข้อปฏิบัติที่แสดงความชัดเจนของฐานะบรรพชิต หรือความมีเพศสมณะ ซึ่งหากพิจารณาให้ดีก็จะเห็นความสอดรับกับหลักการ ๔ ข้อที่ปรากฏอยู่ในพระคาถาแรก ตามคำกล่าวที่ว่า
“ผู้ได้ชื่อว่า บรรพชิต ต้องไม่ทำร้ายผู้อื่น
ผู้ได้ชื่อว่า สมณะ ย่อมไม่เบียดเบียนใคร”
๔ กับข้อปฏิบัติ ๖ ในพระคาถาที่ ๓ เพื่อให้เห็นความชัดเจนของพระสงฆ์ที่ต้องทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนานั้น จะต้องไม่กล่าวร้าย จะต้องไม่ทำร้าย ซึ่งนั่นหมายถึง ต้องตอกย้ำความเป็นบรรพชิต หรือความเป็นสมณะให้ตนได้รับรู้ ไม่ขาดสติ อยู่อย่างกำหนดรู้ในการกระทำ มีสติ สัมปชัญญะ อยู่ตลอดเวลาว่า
“บัดนี้ เรามีเพศแตกต่างจากคฤหัสถ์แล้ว กิริยาอาการใดๆ อันบรรพชิตควรประพฤติ เราต้องทำกิริยาอาการนั้น...” ดังปรากฏเป็นภาษาบาลีอยู่ในบท ทสธัมมสุตตปาฐะ ที่ว่า เววัณณิยัมหิ อัชฌูปะคะโต...
อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้


