ฝันที่เป็นจริงของ วินนา
บ่อยครั้งที่การอ่านก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นและจุดประกายความฝันที่ทำให้ใครหลายต่อหลายคนเติบโตขึ้นมาเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง....
บ่อยครั้งที่การอ่านก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นและจุดประกายความฝันที่ทำให้ใครหลายต่อหลายคนเติบโตขึ้นมาเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง....
โดย...พัมพ์กิ้น_พาย
การอ่าน นอกจากจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการศึกษาและชีวิตแล้ว บ่อยครั้งที่การอ่านก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นและจุดประกายความฝันที่ทำให้ใครหลายต่อหลายคนเติบโตขึ้นมาเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง
อังศุพร ญาณเวคิน นักเขียนสาวหน้าใหม่ที่ใช้นามปากกาว่า วินนา ก็เช่นกัน เพราะเธอเริ่มต้นความฝันกับการเป็นนักเขียนจากการที่ได้อ่านหนังสือหลายต่อหลายแบบ หลายต่อหลายเล่มมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ จนเกิดความคิดว่าอยากจะมีหนังสือที่เป็นของเธอเองบ้าง
"ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ และก็อ่านได้ทุกประเภทนะ เพราะสมัยก่อนเขาไม่ค่อยมีหนังสือเด็กให้อ่าน สมัยก่อนคือ ผู้ใหญ่อ่านอะไรเราก็อ่านอันนั้น จำได้ว่าพ่ออ่านอะไรเราก็อ่านด้วย ตรงนั้นก็เลยทำให้เราโตกว่าเพื่อนๆ และอีกอย่างก็คือ ชอบเข้าห้องสมุดมาก (ยิ้ม) ตอนเรียนอยู่ที่เตรียมอุดม และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ประจำคือห้องสมุด ถ้าเพื่อนหาไม่เจอต้องไปหาที่ห้องสมุด"
แต่ถึงแม้ว่าจะชอบอ่านและอยากทำงานเขียน แต่เธอก็ไม่เคยได้เขียนงานเป็นจริงเป็นจังกับเขาเสียที แต่ก็หวังเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งจะได้มีผลงานเขียนของตัวเองบ้าง จนมาสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยจึงได้ตัดสินใจส่งงานเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกในชีวิตส่งไปที่สตรีสาร และในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์หลายต่อหลายเรื่องในสมัยเรียน
"ตอนที่เห็นผลงานของตัวเองตีพิมพ์ ดีใจที่สุดในโลก ตอนนั้นจำได้ว่าได้สตางค์ด้วย ซึ่งสตรีสารเนี่ยเขาจะน่ารัก เพราะเวลาที่ผลงานเราได้ตีพิมพ์เขาจะส่งหนังสือมาให้พร้อมกับธนาณัติ นอกจากนั้นก็มีเรื่องส่งไปที่ต่วยตูนด้วย เวลาเราไปเจอประสบการณ์อะไรมาเราก็เอามา เขียน และก็พยายามส่งไปตามหนังสือต่างๆ แต่ก็จะเป็นเรื่องสั้นๆ เสีย มากกว่า"
หลังจากจบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาแล้ว วินนาก็ได้เริ่มต้นการทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน ด้วยการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ รวมถึงเตรียมความพร้อมในเรื่องต่างๆ ให้กับเด็กและผู้ใหญ่ ในค่ายอพยพที่ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เพื่อให้พวกเขาไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่สามได้อย่างไม่ยากลำบากจนเกินไป
และหลังจากหมดสัญญาในการทำงานในครั้งนั้น เธอก็เข้าไปทำงานที่บริษัทเอกชนอีกแห่งหนึ่งสักพัก ก่อนจะตัดสินใจบินลัดฟ้าไปเรียนหนังสือต่อที่ประเทศออสเตรเลีย และกลับมาทำงานกินเงินเดือนกับบริษัทเอกชนอีกหลายต่อหลายบริษัท หลังจากทำงานในออฟฟิศมานาน เธอก็ตัดสินใจลาออกและมาทำงานอิสระอย่างเต็มตัว ทั้งทำงานแปล งานล่าม และที่สำคัญ คือ งานเขียนที่เธอรัก ด้วยการตัดสินใจลงมือเขียนนิยายเรื่องยาวครั้งแรกในชีวิต เมื่อปลายปี 2549
"พอเราได้ออกมาทำงานอิสระแล้วมีเวลามากขึ้น เราเริ่มมาค้นว่าตัวเองชอบอะไรจริงๆ และอยากจะทำให้เป็นอาชีพขึ้นมา พอค้นได้ว่าเรามีศักยภาพในการทำตรงนี้ได้ก็เลยลองดู เพราะว่าอยากเป็นคนที่มีอาชีพอิสระจริงๆ คิดว่าไม่อยากเป็นลูกจ้างใครอีกแล้ว สุดท้ายก็คิดว่าการเขียนหนังสือนี่แหละที่เราพอทำได้ เพราะเราชอบอ่านนิยาย แล้วเราก็จะถามตัวเองว่าเราทำได้ไหม ในที่สุดก็คิดว่าจะลองดูนะ"
และเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มต้นกับงานเขียนแบบจริงๆ จังๆ สิ่งแรกที่วินนาทำเป็นอย่างแรก นั่นก็คือการไปหาซื้อแล็ปท็อป และวันนั้นเองที่จู่ๆ พล็อตนิยายเรื่องแรกในชีวิตของเธอ "เติมใจในช่องว่าง" ก็เกิดขึ้น
"พอดีเราไปซื้อแล็ปท็อปที่พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า เสร็จ ทีนี้กลัวว่ากลับไปบ้านเครื่องจะมีปัญหาก็เลยอยากจะลองดูว่าเครื่องจะใช้ได้ดีหรือเปล่า ก็เลยหิ้วคอมพิวเตอร์ไปที่แพลทินั่มพลาซ่า และไปนั่งที่ศูนย์อาหาร และจะลองโดยที่ไม่พิมพ์อะไรเลยก็ไม่ได้ ต้องพิมพ์อะไรสักอย่าง พอดีกับที่เหลือบไปเห็นป้ายเขียนเอาไว้ว่า บัวลอยไข่หวาน 25 บาท ปิ๊งเลย ชอบ คำว่าไข่หวานมาก ก็เลยพิมพ์ใส่แล็ปท็อปเลย และหลังจากนั้นตัวละครไข่หวานก็เกิดขึ้นมา มีพล็อตออกมาเลย กลับไปบ้านไปพิมพ์ต่อ คืนนั้นได้ 6 บท"
เติมใจในช่องว่าง เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงไข่หวาน วัย 6 ขวบ ที่แม้จะมีครอบครัวที่แตกแยก แต่หนูน้อยก็มองโลกในแง่ดี และร่าเริงอยู่ตลอดเวลา จนเมื่อพ่อแม่เลิกกันไข่หวานก็ต้องไปอยู่บ้าน ย่านวล จนได้มาเจอกับหมออานะ และกลายเป็นความผูกพันในสมัยวัยเด็ก จนเมื่อต่างคนต่างแยกย้ายกันไป และกลับมาเจอกันอีกครั้งตอนที่ไข่หวานโตเป็นสาว เรื่องราวความรัก ความผูกพันระหว่างไข่หวานและหมออานะจึงเริ่มเกิดขึ้น
โดยหลังจากเขียนเรื่องนี้เสร็จ วินนาก็ตัดสินใจส่งไปให้ทางสำนักพิมพ์อรุณได้ลองอ่าน และทางสำนักพิมพ์ก็ได้แนะนำให้เธอลองส่งงานเขียนเรื่องนี้ไปประกวดรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดในปี 2550
"ตอนนั้นดีใจมาก กำลังใจมาเป็นกอง เพราะแค่เรื่องแรกบรรณาธิการก็แนะนำให้ลองส่งงานไปประกวด กับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด ปรากฏว่าได้เข้ารอบสุดท้าย เป็น 1 ใน 4 เรื่องที่ได้เข้ารอบ และ ก็เป็นโปรเจกต์ที่ยังค้างอยู่ ไม่แน่ใจว่าจะได้พิมพ์หรือเปล่า พี่ก็เลยส่งเรื่องนี้ไปโพสต์เอาไว้ที่ www.sirinda-stories.net ซึ่งพลิกล็อกมาก ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลาย คนเข้ามาอ่านเยอะมาก ซึ่ง มิถุนานี้ก็คงจะได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นเล่มให้ได้อ่านกัน"
และด้วยความที่ยังค้างคาใจอยู่กับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดที่ยังไม่ได้รางวัลตามความตั้งใจ "คารีนาส ฟากฟ้าแดนใจ" จึงเป็นเรื่องต่อไปที่วินนาคิดจะส่งไปประกวด ซึ่งเรื่องนี้เธอบอกว่าได้พล็อตเรื่องมาจากความฝันในคืนวันหนึ่ง จึงเกิดเป็นดินแดนที่เกิดขึ้นมาจากความฝันในครั้งนั้น ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "คารีนาส" ขึ้นมา พร้อมกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจากจินตนาการ และทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นในดินแดนสมมติแห่งนี้
"ไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรเหมือนกัน แต่มีคืนหนึ่งที่ฝันเป็นฉากว่ามีคนนั่งล้อมกันอยู่เต็มไปหมด และได้ยินเสียงเสียงหนึ่งที่ดุมาก บอกว่า 'ห้ามลุก!' คือประมาณว่าถ้าลุกจะตัดหัวอะไรแบบนี้ พอสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็รีบเปิดแล็ปท็อปแล้วพิมพ์บรรยายภาพนั้นเอาไว้เลย เสร็จแล้วก็มาคิดว่าจะเอายังไงดีกับฉากนั้น ทำยังไงจะขยายฉากที่คิดไว้เป็นเรื่องให้ได้ พอดีกับที่มีเพื่อนจากนอร์เวย์ และเอาหนังสือการท่องเที่ยวมาฝาก เป็นหนังสือที่สวยมาก พี่ก็เลยเอาความฝันนั้นมาอิงกับวิวที่เห็นในหนังสือเล่มนั้น แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็ค่อยๆ ไหลลื่นเข้ามา ซึ่งเรื่องราวที่มาจากจินตนาการพี่ว่ามันสนุกนะ สนุกจนลืมว่ามันอาจจะยากกว่าเรื่องราวที่อยู่รอบๆ ตัวเรา แต่ก็สนุกดีที่ได้คิด ใช้จินตนาการ และก็ได้แสดงความคิดเห็นของเราออกมาด้วย ซึ่งทั้งภาษาคารีส วัฒนธรรม อาหารการกิน ชื่อขนม ชื่อถนน พี่ก็เอาภาษาต่างๆ มาปนกัน อย่างขนมที่ชื่อซีรู ก็เอามาจากขนมฝรั่งเศสอย่างซูเฟร ก็กลับไปกลับมา (ยิ้ม) สนุกตรงที่ได้ใส่จินตนาการนี่แหละ"
และในท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็ได้เข้ารอบ 1 ใน 5 เล่มสุดท้ายรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด ปี 2551 และได้รับการตีพิมพ์ออกมาเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมานี่เอง
"ตอนนี้ถ้าถามว่าเป็นนักเขียนเต็มตัวหรือยัง สำหรับตัวเองมองว่ายังนะ เพราะคิดว่าต้องไปไกลกว่านี้อีกถึงจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียน เพราะทุกวันนี้เราจริงจังกับงานเขียน เพราะอยากประสบความสำเร็จในอาชีพนี้จริงๆ อยากให้เป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวได้จริงๆ"
ส่วนผลงานเล่มต่อไปของวินนาก็คือเรื่อง "แดนสรวง" ที่เธอบอกว่าเป็นการนำสิ่งที่หลงเหลือติดค้างอยู่ในหัวกลับมาเขียนอีกครั้ง เป็นภาคต่อของคารีนาสนั่นเอง


