posttoday

'หนังทดลอง' ของ 'สิงห์สนามหลวง'

26 มกราคม 2553

"สุชาติ สวัสดิ์ศรี" หรือผู้เฒ่าเครางามแห่งแวดวงวรรณกรรม เจ้าของนามปากกา "สิงห์ สนามหลวง" คลุกคลีกลิ่นน้ำหมึกกับกระดาษมาเนิ่นนาน....

"สุชาติ สวัสดิ์ศรี" หรือผู้เฒ่าเครางามแห่งแวดวงวรรณกรรม เจ้าของนามปากกา "สิงห์ สนามหลวง" คลุกคลีกลิ่นน้ำหมึกกับกระดาษมาเนิ่นนาน....

โดย...อัคร เกียรติอาจิณ


"สุชาติ สวัสดิ์ศรี" หรือผู้เฒ่าเครางามแห่งแวดวงวรรณกรรม เจ้าของนามปากกา "สิงห์ สนามหลวง" คลุกคลีกลิ่นน้ำหมึกกับกระดาษมาเนิ่นนาน มีงานเขียนสำนวนสะบัดให้อ่านเป็นระยะ ควบคู่การ ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการหนังสือและนิตยสารขวัญใจหนอนนักอ่าน "สังคมศาสตร์ปริทรรศน์" กับ "ช่อการะเกด"

แต่ระหว่างทำงานวรรณกรรมอยู่นั้น เขาก็เริ่มให้ความสนใจกับงานจิตรกรรม ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนหรือลงมือทำมาก่อนเลย ทว่าด้วยแรงผลักดันจากห้วงหัวใจร่ำร้อง เพียงเวลาไม่นาน เขาก็สร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้ตามตั้งใจ "จิตรกรรม" "จิตรกรรมวีดิทัศน์" (Video Painting) หรือกระทั่ง "นิยายทัศนศิลป์" (Visual Art Novel) ถูกนำมาจัดแสดงสู่สายตาสาธารณะ 4 ครั้งรวด (สุชาติโทเปีย ปี 2546 / สุชาติมาเนีย ปี 2547 / สุชาติเฟลเลีย ปี 2548 และ ประวัติศาสตร์ส่วนตัว ปี 2549) เรียกเสียงฮือฮาให้แก่ผู้พบเห็นอย่างมาก เนื่องเพราะทั้งหมดล้วนเป็นผลงานอันเกิดจากการศึกษาด้วยตัวเอง

เช่นเดียวกับการทำหนังทดลอง สุชาติก็อาศัยการเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปจากเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งเจ้าตัวออกปากว่าช่างห่างไกลกับชีวิตเขานัก นั่นเพราะเขายังไม่เคยมีกล้องดิจิตอล ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์ แต่ความมุมานะบวกกับอยากพิสูจน์ฝีมือให้ทุกคนประจักษ์ ผ่านไปไม่กี่เดือน เขาทำให้ทุกคนตะลึง (อีกครั้ง) จนได้ เมื่อจู่ๆ ก็ส่ง "หนังทดลอง" ออกมาชิมลางในคราวเดียวถึง 14 เรื่อง แม้จะยังไม่บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งใจไว้ 17 เรื่อง ทว่าผลงาน 14 เรื่องที่สำเร็จก็หาใช่จำนวนน้อยเลยสำหรับมือใหม่หัดทำหนัง

นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ทำเอาคนหนุ่มสาวอย่างเราต้องขอซูฮกให้ในความเจ๋ง ผู้เฒ่าวัย 62 ปี (ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจคิดว่าน่าจะถึงเวลาพักผ่อนได้แล้ว หรือไม่ก็หาความสุขกับการอยู่บ้านเลี้ยงหลาน) ทำได้อย่างไร และอะไรคือแรงขับเคลื่อนสำคัญในการก่อเกิดเป็น "หนังทดลอง" คนเดียวที่จะไขความสงสัยนี้ให้กระจ่างแจ้ง ก็คงไม่พ้นเจ้าของผลงาน "สิงห์ สนามหลวง"

'หนังทดลอง' ของ 'สิงห์สนามหลวง'

จุดเริ่มต้นการมาทำหนังทดลองของคุณคืออะไรกันแน่

"สำหรับการทำหนังก็เหมือนการทำงานศิลปะทั่วไป เป็นสื่ออีกรูปแบบหนึ่งที่แสดงออกได้ไม่ต่างจากงานวรรณกรรม หรืองานทัศนศิลป์ เพราะฉะนั้นเมื่อคิดถึงหนังเนี่ย ผมก็มองว่ามันคือส่วนหนึ่งของการนำเสนอความคิดทางศิลปะ เพียงแต่เปลี่ยนจาก 2 มิติ เป็นภาพเคลื่อนไหว แทนที่จะอยู่บนกระดาษ หรือผ้าใบ ก็ให้มันอยู่บนจอ หรือเครื่องฉาย"

แสดงว่ามีความสนใจหนัง หรือการทำหนังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

"อันที่จริง ถ้าเทคโนโลยีที่ผมสามารถเรียนรู้ได้ในราคาไม่แพงนัก มันมาถึง 30-40 ปีก่อน ผมก็คงลงมือทำแล้วละ และคงทำเป็นเรื่องเป็นราว แต่เผอิญเทคโนโลยีที่เป็นกล้องดิจิตอลทั้งหลายมันเพิ่งมาเกิดช่วงหลังนี้เอง ผมเลยอยากทดลองว่าจะใช้มันเป็นเครื่องมือได้ยังไงมากกว่า"

หนังทดลองของคุณต่อยอดความคิดมาจากงานวรรณกรรม หรืองานทัศนศิลป์ใช่ไหม

"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะเนื้อหาบางเรื่องมาจากบทกวีของผม หรืองานจิตรกรรมที่ผมเคยแสดง แต่ทำให้กระชับขึ้น โดยจะอยู่ในลักษณะของเพียวอาร์ต โซเชียลอาร์ต เนื้อหาพูดถึงสังคม และสุดท้ายเนื้อหาค่อนข้างออกไปเชิงอัตตะ มีความเป็นส่วนตัว คล้ายๆ เป็นหนังที่นำเสนอ 3 กลุ่มความคิดหลัก มีทั้งแฝงสัญลักษณ์เหมือนกวีนิพนธ์ หรือบอกตรงๆ เพราะนำมาจากเหตุการณ์จริงในสังคม"

อะไรคือข้อจำกัดการทำหนังทดลองของคนวัย 62 ปี

"เมื่อก่อนผมกับคอมพิวเตอร์นั้นอยู่คนละโลกกันเลย คือใช้ไม่เป็น แต่พอมัน เป็นกล้องดิจิตอล ก็ต้องรู้วิธีที่จะโหลด เข้าเครื่อง วิธีที่จะตัดต่อ ผมต้องเรียนรู้พื้นฐาน อย่างน้อยก็เปิดเครื่องให้เป็น (หัวเราะ) โหลดให้เป็น แล้วสร้างโฟลเดอร์ไว้ ก่อนจะเอาไปให้คนที่เข้ากับเราได้ ทำหน้าที่ตัดต่อ เพราะฉะนั้นผมเลยเรียกว่าเป็น การทดลองจริงๆ เป็นความหมายของคำว่าหนังทดลองโดยตรง

ผมเคยบอกกับหลายคนนะว่ายิ่งมีเครื่องมือดีๆ ทุกคนก็จะสามารถทำหนังได้ เพราะลักษณะของการทำหนังเดี๋ยวนี้ขอบเขตมันกว้างกว่าแต่ก่อนมาก ถ้าคุณมีความคิดก็ กระโจนลงมาทำเลย ปัญหามันก็อยู่ตรงเนี้ย...ถ้าคุณมีความคิด สำหรับคนรุ่นใหม่ที่กำลังทำหนังสั้น ผมว่าส่วนใหญ่ก็มีฝีมือกัน ส่วนหนึ่งร่ำเรียนมา ผมเคยได้ดูบ้าง แต่มันมากเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะว่าเครื่องมือหาง่ายราคาถูก แต่สุดท้ายเครื่องมือมันก็คือเครื่องมืออยู่ดีนั่นละ"

อะไรคือข้อจำกัดของหนังทดลองบ้านเรา

"ก่อนนั้นติดปัญหาเรื่องอุปกรณ์ที่มีราคาแพง แต่ตอนนี้น่าจะเป็นความคิดของคนในสังคม พูดง่ายๆ ถ้าใครอยากทำหนังสักเรื่องหนึ่งก็ควรเริ่มทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่เดินไปหานายทุน ควรจะมีเงื่อนไขกับตัวเอง การเติบโตของงานศิลปะไม่ว่าแขนงไหน มันงอกงามได้ผมว่าส่วนหนึ่งคือต้องมีเสรีภาพในการแสดงออก ดังนั้นคนทำต้องมีอิสระ

แต่ศิลปะบ้านเรามักจะมีเงื่อนไขห้อมล้อมมากมาย มีความคิด มีความตั้งใจ มีความเชื่อมั่น ก็ไม่สำเร็จ ต้องมีทุนและเวลาด้วย บ้านเราไม่มีการจัดการทางวัฒนธรรมที่ดี ไม่มี การให้ความสะดวกหรือสนับสนุน ถ้ามีก็อาจจะยากหน่อย เพราะพวกใครพวกมัน เห็นใจคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาสู่อาณาจักรศิลปะ

แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นในอำนาจงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม ทัศนศิลป์ หรือแม้แต่หนังทดลองเอง ทั้งหมดยังจะสามารถสื่อสิ่งที่เรียกว่าตัวตน หรืออิสรภาพได้เหมือนเดิม อยากให้ใช้มันเป็นสื่อทะลุทะลวงความคิดให้เข้าที่สุดให้ดีที่สุด"

คุณมีกระบวนการทำงาน (หนังทดลอง) อย่างไร

"ผมไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีเลย แต่ผมจะเป็นคนก่อการทั้งหมด ตั้งแต่เขียนบท ถ่ายภาพ หาเสียง และกำกับการตัดต่อ อย่างที่ผมต้องการ กล้องก็ใช้กล้องถ่ายรูป 7 ล้านพิกเซล ใช้โหมดภาพเคลื่อนไหว คนตัดต่อก็เป็นเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง (นาวิน อินศร) ช่วยมาหลายครั้งแล้ว ส่วนคนที่ทำให้ผมรู้จักคอมพิวเตอร์คือลูกชาย (โมน สวัสดิ์ศรี) ก็เลยเหมือนว่าเสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องพึ่งคนที่มีความรู้พื้นฐานคอมพิวเตอร์หนึ่งคนกับคนตัดต่ออีกหนึ่ง ผมพยายามเรียนรู้ทุกขั้นตอนนะ แต่ไม่ได้คิดว่า คงไม่ทันการณ์"

นิยามหนังทดลองของคุณคืออะไร

"คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงหนังสั้น เล่าเรื่องตามขนบ มีบทมีตัวแสดง ต้องเป็นลักษณะนี้เพื่อต่อไปจะได้กลายเป็นหนังยาว อะไรทำนองนี้ สำหรับผมหนังสั้นไม่ใช่หนังทดลอง แต่หนังทดลองหลายเรื่องเป็นหนังสั้น เพราะมีความยาวไม่มากนัก สิ่งหนึ่งที่ผมเข้าใจในคอนเซปต์อย่างคนทำงานศิลปะ คือหนังทดลองต้องเริ่มต้นด้วยความคิดของคุณ ซึ่งเป็นจุดรวมที่จะสะท้อนสิ่งที่คุณต้องการนำเสนอ

คำว่าทดลองก็เพิ่งจะนำมาใช้กันไม่เกิน 10-20 ปี จริงๆ ก็เป็นส่วนต่อขยายมาจากภาพถ่ายนั่นละ หนังในยุคแรกๆ ก็จะมีลักษณะทดลอง เล่าเรื่องน้อยมาก แค่ถ่ายช็อตสั้นๆ สมัยก่อนไม่เรียกหนังทดลอง แต่เรียกว่า อาวองการ์ด คือหนังล้ำยุค บางครั้งก็เรียกอันเดอร์กราวด์ฟิล์ม คนที่มาทำหนังแบบนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นคนหนุ่มสาวไฟแรง อยากทดลองให้มุมมองปรากฏเป็นภาพเคลื่อนไหว หรือบางครั้งก็สนองความเป็นปัจเจกตัวเอง เช่น หลุยส์ บุนเยล ซัลวาดอร์ ดาลี สแตน เบร็คเกจ แอนดี วอร์ฮอล"

14 เรื่องของคุณสนองความเป็น ปัจเจกตัวเองหรือ

"ผมมองว่าทุกเรื่องมีความเป็นปัจเจกอยู่แล้ว นัยของแต่ละเรื่องก็ขึ้นอยู่กับคนดู บางเรื่องอาจสื่อได้ไว บางเรื่องอาจต้องใช้เวลาหน่อย ก็เป็นธรรมดา เพราะผมไม่ได้คาดหวังให้คนดูเข้าใจทันที คนที่ไปดูหนังผมอาจจะรู้สึกแปลกๆ หรือรู้สึกอึดอัดก็ได้ ไม่ใช่ว่าดูยาก หลายคนที่เคยดูแล้ว (นิทรรศการประวัติศาสตร์ส่วนตัว ณ หอสมุดปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์) มีเสียงมาถึงผมทำนองที่เขาเข้าใจในแนวทางเดียวกับผม ถือว่าเข้าใจในสิ่งที่ผมนำเสนอ

แต่คนรุ่นใหม่หลายคนยังคงเข้าใจผิดอยู่ พอพูดถึงทดลองต้องเป็นอะไรยากๆ ทำกล้องไหว ทำให้ดูไม่รู้เรื่องเข้าไว้ ทำอย่างนั้นได้ แต่ต้องมีประเด็น ถึงคนอื่นจะไม่เข้าใจ หรือเข้าไม่ถึง ก็ไม่แปลก แต่คนต้องรู้ว่ากำลังทำอะไร สำหรับผมแล้วธรรมเนียมของการเสิร์ฟงานศิลปะก็ไม่จำเป็นต้องบอกหมดทุกอย่าง เนื้อหาของหนังจะไม่เกี่ยวเนื่องกันเลย เหมือนภาพเขียน 14 ภาพนำมาเรียงกัน แต่แทนที่จะอยู่บนเฟรม ก็เปลี่ยนเป็นการนำเข้าเครื่องฉายแล้วยิงไปบนจอ มีทั้งลักษณะภาพนิ่งนำมา ตัดต่อเพื่อประกอบให้เป็นเรื่อง อีกส่วนหนึ่งก็เป็นภาพเคลื่อนไหว"

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ นักลงทุนรอข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสัปดาห์นี้