เพชฌฆาตปราบเครียด
ปัญหาความเครียดของตำรวจ ที่ออกปฏิบัติงานในแต่ละวัน โดยเฉพาะงานจราจรในเมืองหลวง พวกเขาก็ต้องเจอกับเรื่องหนักๆ ความเครียดสะสม เลยจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...
ปัญหาความเครียดของตำรวจ ที่ออกปฏิบัติงานในแต่ละวัน โดยเฉพาะงานจราจรในเมืองหลวง พวกเขาก็ต้องเจอกับเรื่องหนักๆ ความเครียดสะสม เลยจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...
โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ
ปัญหาความเครียดของตำรวจ ที่ออกปฏิบัติงานในแต่ละวัน โดยเฉพาะงานจราจรในเมืองหลวง พวกเขาก็ต้องเจอกับเรื่องหนักๆ เจออารมณ์ของคนใช้รถ ความเครียดสะสม เลยจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายก็มากระทบกับงานบริการประชาชน และผู้ที่รับผลกระทบก็ต้องเป็น “ประชาชน” นั่นแหละ
จากสถิติของกรมสุขภาพจิต เมื่อปี 2545 พบว่าตำรวจชั้นประทวน โดยเฉพาะกลุ่มงานจราจร ที่สุ่มสำรวจจำนวน 2,301 นาย 43.1% มีความเครียด และอีก 8.08% จำเป็นต้องได้รับการรักษา และปัจจุบันก็ยังมีตำรวจเครียดเพิ่มจำนวนมากขึ้น เพราะสภาวะปัญหามีมากเป็นเงาตามตัว
เรื่องนี้ทางโรงพยาบาลตำรวจเล็งเห็นความสำคัญ ต้องการขจัดความเครียดให้หมดไปจากใจของตำรวจไทย หรือทำให้ตำรวจเครียดน้อยลงบ้างก็ยังดี จึงผุดโครงการดีๆ ภายใต้ชื่อ “ตำรวจไทย หัวใจเข้มแข็ง” หวังลดความเครียดให้ตำรวจลงให้ได้
โดยเตรียมนำร่องส่งทีม “หน่วยปราบความเครียด” ลงพื้นที่ทุกโรงพักของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อหวังผลระยะยาวให้ประชาชนได้สบายใจนั่นเอง
โครงการนี้ รูปแบบเป็นอย่างไร เขาปฏิบัติงานกันลักษณะไหน จัดตลกมาแสดงให้ตำรวจดูหรือเปล่า ?? ก็เห็นว่าจะปราบความเครียดเรียกรอยยิ้มกลับมาก็เป็นสิ่งจำเป็น จึงไปขอคำตอบกับ พล.ต.ท.นพ.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไขความกระจ่าง
“ตำรวจในนครบาลของเรา โดยเฉพาะงานจราจร แน่นอนว่าผู้ปฏิบัติงานลงพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชั้นประทวน มีปัญหาโรคซึมเศร้า ติดสุรา ติดบุหรี่ จากปัญหาความเครียดของงาน หรือเรื่องครอบครัว และเรื่องส่วนตัวต่างๆ อาจนำไปสู่การแสดงออกด้วยความก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้น อาทิ การทำร้ายครอบครัว ทำร้ายผู้อื่น หรือฆ่าตัวตาย โดยส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกตัวว่าถูกความเครียดรุมเร้า” พล.ต.ท.นพ.จงเจตน์ เปิดหัวการสนทนาได้อย่างน่าสนใจ
พร้อมกับบอกถึงที่มาที่ไปของโครงการ ก็คือตำรวจเป็นอาชีพที่ใกล้ชิดกับประชาชน พบปะกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเป็นงานที่ต้องทำต่อเนื่องแทบจะไม่มีวันหยุด เช่น ช่วงปีใหม่ เทศกาลต่างๆ ที่หลายวิชาชีพได้หยุดพัก แต่ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่ อำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งงานจราจร งานป้องกัน และงานบริการ แน่นอนว่าความเสี่ยงต่อความเครียดต้องเกิดขึ้นกับอาชีพตำรวจชัวร์ !!!
เรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องสังคม ตำรวจต้องปรับสภาพให้รับกับปัญหาทุกรูปแบบ หากปรับตัวไม่ได้อาจก่อให้เกิดความเครียด และปัญหาทางอารมณ์ ก็จะต้องตามมา ที่สำคัญเมื่อเกิดปัญหาก็ย่อมส่งผลต่อการทำงาน ไม่สามารถดึงศักยภาพที่มีอยู่มาใช้ได้อย่างเต็มที่
แต่การรักษา หรือให้บริการด้านสุขภาพจิตของโรงพยาบาลเป็นไปในรูปแบบการตั้งรับ เมื่อผู้ป่วยมีปัญหาจึงมาพบแพทย์ ซึ่งอาจจะทำให้ปัญหาตามมาอีก ทั้งตัวเอง ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน นี่คือปัญหาของตำรวจที่อาจจะไม่รุนแรง แต่หากไม่แก้ไขก็จะบานปลายได้ จึงตั้งโจทย์นี้ขึ้นมา ทำอย่างไรกันดีให้เป็นการบริการเชิงรุก โดยเฉพาะด้านสุขภาพจิตของตำรวจเรา
แล้วการจัดการความเครียด ที่โรงพยาบาลตำรวจกำลังจะดำเนินการ จะเป็นในรูปแบบใด จะรุกอย่างไรกันบ้าง พ.ต.ต.หญิง พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล นายแพทย์ (สบ 2) กลุ่มงานจิตเวช โรงพยาบาลตำรวจ หรือ หมอแอร์ เจ้าของไอเดีย “หน่วยปราบความเครียด” ฉายภาพให้เห็นอย่างชัดเจน
หมอแอร์ บอกว่า การทำงานต้องปฏิบัติการในเชิงรุก บุกไปสถานีตำรวจกันเลย ให้ความรู้ด้านสุขภาพจิต ให้เขารู้จักวิธีขจัดความเครียดอย่างเหมาะสม และทราบถึงช่องทางการมารับบริการด้านสุขภาพจิต และการช่วยเหลือต้องรวดเร็ว ไม่เรื้อรัง
รูปแบบการดำเนินการของ “หน่วยปราบความเครียด” จะเป็นในลักษณะการฟื้นฟูสภาพจิตใจของตำรวจ มุ่งเน้นสร้างเสริมสุขภาพจิตที่ดี ให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียด พร้อมทั้งคัดกรองตำรวจที่มีความเสี่ยงจะมีปัญหา เพื่อหาทางขจัดออกไป
พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพการทำงานให้มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ รุกในพื้นที่นครบาลก่อน หากบทสรุปในกลางปีนี้ได้ผลออกมาดีก็ต้องขยายโครงการดีๆ แบบนี้ไปยังตำรวจภูธรอีกด้วย
หวังมากแค่ไหนกับโครงการนี้ หมอแอร์เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่หวังอะไรมากมายค่ะ เพียงแค่ต้องการให้ตำรวจได้มีสุขภาพจิตที่ดี รู้จักผ่อนคลายความรู้สึก คลายความเครียดของตัวเองได้ และไปดูแลกันในฐานะ ‘เพื่อนดูแลเพื่อนได้’ เพราะบทสรุปแล้ว ผลประโยชน์ทั้งหลายก็จะตกอยู่กับประชาชน และตัวเจ้าหน้าที่เอง”
เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลตำรวจ “หน่วยปราบความเครียด” มีด้วยกัน 15 คน ทั้งชายและหญิงเตรียมเดินหน้าบุกไปทุกสถานีตำรวจนครบาลทั้ง 88 แห่งทั่วกรุง อย่างที่บอกไว้ไม่ใช่ไปโชว์ ไปแสดงรูปแบบต่างๆ ให้คลายเครียด แต่ไปทำงานเชิงรุก หวังขจัดความเครียดของตำรวจให้หมดไป
ในมุมมองของเจ้าหน้าที่จิตแพทย์ ที่ต้องลงพื้นที่ไปคลายเครียดให้ตำรวจอย่าง ด.ต.หญิง มยุรี น้ำทิพย์ เล่าว่า “เราหวังเพียงแค่ต้องการให้ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ได้มีสุขภาพจิตที่ดี เราจะลงพื้นที่ไปทุกสัปดาห์ กระทั่งถึงสรุปผลในเดือน มิ.ย.นี้ และผลการสำรวจ หรือตรวจสอบ จะเป็นความลับ จะแจ้งผลการสำรวจกลับไปยังตำรวจนายนั้นเพียงคนเดียว แต่การแนะนำวิธีคลายเครียด ก็จะแนะนำกับตำรวจทุกคน
สำหรับผู้ปฏิบัติงานจราจร อย่าง พ.ต.ท.พิพัฒน์ บุญพิทักษ์ สว.จราจร สน.พลับพลาไชย 1 ท้องที่รถติดอย่างหนักอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง ระบายถึงความเครียดในการปฏิบัติงานว่า “เจอมาหลายอย่าง ทั้งเรื่องอากาศ ควันพิษ แต่หลักๆ ที่เกิดความเครียดก็มาจากประชาชนด้วยกัน เพราะส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเข้าใจการปฏิบัติงานของตำรวจจราจร มาต่อว่า มาด่าก็ยังมี ขนาดไปจับกุมผู้ที่ทำผิดกฎจราจรอย่างชัดเจน คนที่ถูกจับก็ยังมาด่า มาต่อว่า ไม่ยอมรับผิด สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่สร้างความเครียดให้กับตำรวจทั้งนั้น”
แค่เพียง พ.ต.ท.พิพัฒน์ เปิดประเด็นขึ้นมาก็พากันเครียดเสียแล้ว แล้วอย่างนี้จะมีวิธีกำจัดความเครียดแบบส่วนตัวๆ อย่างไรกันบ้าง ???
“ส่วนตัวผมเองจะนิ่งซะ หากประชาชนไม่เข้าใจ มาด่ามาต่อว่า ก็จะใช้วิธีการนิ่ง ไม่ตอบโต้ เพราะโต้ไปก็มีแต่จะเสียหาย พยายามไม่เก็บมาใส่ใจ หรือคิดเรื่องอื่นๆ ก็ทำให้หายเครียดไปบ้าง สำหรับโครงการ ‘หน่วยปราบความเครียด’ ถ้าเป็นโครงการที่ดีก็พร้อมให้ความร่วมมือครับ”
สุดท้ายสารวัตรจราจรขอฝากถึงคนใช้รถใช้ถนน “ผมขอให้เข้าใจการทำงานของตำรวจบ้าง เมื่อพูดถึงความเครียดแล้ว ก็เข้าใจว่าประชาชนที่ขับรถก็เครียดเช่นกัน ตำรวจก็ไม่ต่างกัน ขอให้เข้าใจกันบ้าง”
ก็ต้องติดตามกันต่อไป โครงการดีๆ นี้จะสำเร็จลุล่วงตามความมุ่งหวังของนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และหมอแอร์ เจ้าของไอเดียนี้หรือไม่ สิ่งสำคัญอยู่ที่ความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย แต่เชื่อเถอะเพียงแค่ตำรวจได้เห็นหน้าหมอแอร์และทีมงานสาวสวยหนุ่มหล่อ คงจะหายเครียดไปเปลาะหนึ่งแล้ว ไม่เชื่อคอยดู !!!


