แกะรอยประวัติศาสตร์ 50 ปีกับ ‘My body, my choice.’
‘My body, my choice.’ คือหนึ่งใน Tag Line ที่ถูกใช้ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศในช่วงหลัง แต่กว่าที่สโลแกนจะเดินทางมาจนถึงวันนี้ มันได้ผ่านร้อนผ่านหนาว และอยู่ในประวัติศาสตร์การเรียกร้องมาในหลายประเด็น ที่เราจะมาแกะรอยประวัติศาสตร์และพัฒนาการของสโลแกนนี้กัน
คือคำภาวนาของเพศหญิง
ตั้งแต่เริ่มต้น ‘My body, my choice.’ เป็นสโลแกนที่เกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียม แต่เฉพาะเจาะจงไปที่ผู้หญิงเท่านั้น ซึ่งมีจุดเริ่มต้นในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 1970 และไม่ได้ถูกใช้ในประเด็นความหลากหลายทางเพศ หรือใช้ในหลายประเทศเฉกเช่นปัจจุบัน แต่ใช้เป็นสโลแกนสำหรับการ ‘เรียกร้องทำแท้ง’ อย่างถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกา
หากตามหาข้อความที่ปรากฎในหนังสือพิมพ์จะพบว่ามีข้อความ ‘It’s my body; it should be my dicision’ ปรากฎในหนังสือพิมพ์ The Boston Globe ราวปี 1969 หลังจากนั้นก็เป็นการจุดกระแสการเรียกร้องขึ้นมากว้างขึ้นเรื่อยๆ และแปรเปลี่ยนไปแต่สื่อความหมายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการในการประท้วงในกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องสิทธิการทำแท้งที่เมืองฟิลาเดเฟีย มีการใช้คำว่า “My body, my decision.” และหลังจากนั้นในช่วงเดือนมีนาคม ปี 1978 ได้มีข่าวผู้ประท้วงของเจ้าหน้าที่เก็บขยะ 200 คน นอกอาคารศาลากลางของรัฐวิสคอนซิน พวกเขาตะโกนว่า ‘My body, my choice.’ ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของทั้งหมด โดยที่มันไม่เคยปรากฎอยู่ในงานวรรณกรรมใดๆ และไม่ได้ถูกเผยแพร่ลงใน Google ในยุคนั้นแน่ๆ ... หลังจากนั้นประโยคนี้จึงถูกนำมาใช้สำหรับการเรียกร้องสิทธิที่จะทำแท้งได้ ด้วยแนวคิดที่ว่าเพราะร่างกายของเรา เราควรจะกำหนดได้ว่าเมื่อไหร่เราควรจะมีลูก .. อย่างไรก็ตามแนวคิดดังกล่าวถูกต่อต้านมานานนับหลายทศวรรษ บางความเห็นระบุว่าแนวคิดเช่นนี้ คล้ายเป็นการดูหมิ่นว่าทารกในครรภ์นั้นเป็นเพียงแค่อวัยวะหนึ่งที่ผู้หญิงสามารถตัดทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้!!
อย่างไรก็ตามในปี 2015 สหรัฐอเมริกาได้มีการใช้ข้อความนี้เป็น Hashtag รณรงค์ให้เกิดการวางแผนครอบครัวขึ้น แน่นอนว่าการวางแผนครอบครัวจะเป็นการป้องกันสาเหตุทั้งหมดที่จะนำไปสู่การต้องเลือกว่าจะทำแท้งหรือไม่ .. เพื่อลดข้อขัดแย้งในกรณีดังกล่าวที่ยังหาข้อสรุปไม่ลงตัว อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่ผ่านมาได้มีการตัดสินคดีของศาสสูงสุดวินิจฉัยว่ากฎหมายห้ามทำแท้งหลังอายุครรภ์เกิน 15 สัปดาห์ในรัฐมิสซิสซิปปีสามารถบังคับใช้ต่อไปได้ จึงทำให้กฎหมายที่เคยนำมาใช้ก่อนหน้านี้ที่อนุญาตให้ทำแท้งได้จากคำตัดสินของศาลสูงสุดในปี 1973 ตกไป
ไม่ได้จำกัดแค่การทำแท้ง แต่คือสิทธิของ ‘ผู้หญิง’
ศตวรรษที่ 20 พลังของ ‘My body, my choice.’ ได้ถูกใช้ในหลายประเทศอย่างแพร่หลาย และกลายเป็นสโลแกนที่ถูกนำมาพูดถึงเมื่อกล่าวถึงประเด็นความหลากหลายมากที่สุด จากการพูดถึงแค่เรื่องสิทธิผู้หญิงสู่ 'ความหลากหลายทางเพศ' และพัฒนาสู่ความหลากหลายในการเลือกใช้ชีวิต
ในประเทศปากีสถาน ราวปี 2022 ได้นำสโลแกนดังกล่าวไปใช้ในการเดินขบวนเรียกร้อง Aurat March ในปากีสถานในวันสตรีสากล พวกเขาแปลคำว่า ‘My body, my choice.’ ให้กลายเป็นภาษาของตัวเองคือ Mera Jism Meri Marzi พวกเขาออกมารณรรงค์บนท้องถนน ยืนตะโกนอยู่บนหลังคาบ้านของพวกเขา เพราะเรียกร้องสิทธิของเพศหญิง สโลแกนนี้ทำให้เกิดข้อพิพาทมากมายทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ตามรายงานจากสื่อ The Friday Times เกิดเหตุสามีฆ่าภรรยาคนที่ 5 ของเขาขณะตั้งครรภ์เพราะตะโกนสโลแกนดังว่า Mera Jism Meri Marzi.
นอกจากนี้ในประเทศเกาหลี สโลแกนนี้เคยถูกใช้ในความหมายของผู้หญิงที่มีสิทธิในการเลือกว่าจะแต่งงานหรือไม่ หรือ เลือกที่จะมีลูกหรือไม่ก็ได้ นอกจากนี้ยังใช้เพื่อผลักดันให้ผู้หญิงโสดมีสิทธิเท่าเทียมในที่ทำงาน เพราะรายได้ที่ต่างกันมากแม้จะทำงานตำแหน่งเดียวกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย ในขณะเดียวกันในประเทศอินเดียได้มีการสร้างหนังสั้นที่เรียกร้องสิทธิของผู้หญิงที่จะมีอิสระในการสวมใส่เสื้อผ้า การใช้ชีวิต ความรัก เซ็กส์ และการแต่งงาน .. แม้กระทั่งในทวีปห่างไกลอย่างแอฟริกา ในกลุ่มชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมยึดโยงอยู่กับชายเป็นใหญ่ค่อนข้างสูงก็มีการใช้สโลแกนนี้ในการรณรงค์เช่นเดียวกัน อย่างในประเทศแอฟริกาใต้ที่รณรงค์เรื่องดังกล่าวเพื่อให้ผู้หญิงสามารถมีสิทธิเรียกร้องในสิ่งที่เธอต้องการได้ด้วยตัวเอง และมีสิทธิตัดสินใจในร่างกาย สุขภาพและชีวิตของตนเอง ... รวมไปถึงที่ประเทศแซมเบียที่ได้มีการต่อยอดสโลแกน ‘My body, my choice.’ ออกไป โดยระบุว่า "My Body, My Choice"; "We Have the Right to Be Heard"; and "Before I'm a Woman, I'm a Human.” ร่างกายของเรา ทางเลือกของเรา เรามีสิทธิที่ทุกคนควรรับฟัง และก่อนที่ฉันจะเป็นผู้หญิง ฉันก็คือมนุษย์คนหนึ่ง (ไม่ต่างไปจากผู้ชาย)
ร่างกายคือสิ่งสากล ‘เท่าเทียมและงดงาม’
หากพิจารณาถึงรากเหง้าของสโลแกน ‘My body, my choice.’ มันสะท้อนถึงแนวคิดความเป็นอิสระทางร่างกายของแต่ละบุคคล และตั้งอยู่บนเสรีภาพในการเลือกที่จะเป็นสิ่งใดก็ได้ ร่างกายถูกยึดโยงเข้ากับหัวใจ จึงไม่สมควรที่ใครจะมาครอบงำให้เราเป็นในสิ่งที่เราไม่ต้องการ
เพราะฉะนั้นสโลแกนนี้จึงมีพลังมากพอที่จะขยายไปสู่การรณรงค์ของเหล่า LGBTQIA+ ด้วยในปัจจุบัน แม้จะยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่เราจะเห็นว่าสโลแกนนี้ได้มีการนำไปใช้ในหลายครั้ง ทั้งในหมู่ของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายที่เลือกจะแปลงเพศ หรือเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าซึ่งคนมองว่าไม่ตรงกับเพศสภาพของตน หากเป็นเมื่อก่อนก็คงจะโดนมองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่การนำสโลแกนนี้มาใช้ ทำให้ทุกคนเปิดกว้างและยอมรับกับการแต่งกายที่แตกต่าง หรือแม้แต่รูปร่างภายนอกที่อาจจะขัดกับเพศสภาพ แต่ถ้าหากเป็นความพึงพอใจส่วนบุคคลแล้วนั่นคือ ‘My body, my choice.’
และในวันนี้เองขบวนของงานบางกอกไพรด์ 2023 ก็ได้ใช้สโลแกนนี้เป็นหัวข้อของขบวนที่ 2 ในการเดินเช่นกัน เพื่อที่จะรณรงค์ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีเพื่อคืนสิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพให้กับพนักงานบริการและ Sex Creator รวมถึงสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง Sex ให้ถูกกฎหมาย นอกจากนี้ยังสนับสนุนการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาในโรงเรียน และไม่พลาดที่จะรณรงค์เรื่องสิทธิในร่างกายเพื่อยุติการถูกคุกคามและข่มขืน รวมถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม โดยมีทูตนฤมิตชาว LGBTQIA+ที่ทำงานเป็น Sex worker เป็นผู้นำเดินในขบวน.


