คนรุ่นใหม่อินไซด์ธุรกิจสินค้าแฟชั่นสุดยูนีค
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่หันมาทำธุรกิจกันเยอะ โดยเฉพาะเซเลบในแวดวงสังคมไทย ซึ่งส่วนใหญ่โปร์ไฟล์ดีมีความสามารถ ต่างก็หันมาสร้างธุรกิจสินค้าแฟชั่นสุดยูนีคกันหลายราย นอกจากจะสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจแล้ว ยังช่วยยกระดับแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
วิคธีร์รัฐ (VICKTEERUT) เสื้อผ้าแบรนด์ไทยสุดเก๋สำหรับคนรักแฟชั่น
เปิดด้วยเซเลบนักธุรกิจสาวเก่ง แป้ง-อรประพันธ์ สุทธินรเศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ และผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ ของแบรนด์ VICKTEERUT และ VICK’S แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นของคนไทยซึ่งกำลังเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์
“แบรนด์วิคธีร์รัฐ (VICKTEERUT) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2007 โดยมีจุดประสงค์สำคัญในการนำเสนอคำนิยามใหม่ของความโมเดิร์น ผ่านงานตัดเย็บสไตล์เทเลอร์เมดที่ประณีต เส้นสายงานออกแบบที่ดูเฉียบคม มีความเป็นกราฟฟิก จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความล้ำสมัยและความคลาสสิค ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเสื้อผ้าดูน่าสนใจ สวมใส่ได้ง่าย และเหมาะกับหญิงสาวสังคมเมืองในยุคปัจจุบัน โดยเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายผู้หญิง ชิ้นเด่นๆ ของแบรนด์จะประกอบด้วย เสื้อเบลเซอร์ กางเกงทรงเทเลอร์ ซึ่งมาพร้อมคัตติ้งที่เฉียบคมและช่วยส่งเสริมรูปร่างของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี
“ถ้าถามว่ากลุ่มลูกค้าของแบรนด์คือใคร ขอตอบว่า เป็นกลุ่มผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเอง รู้ว่าตัวเองชอบอะไร เสื้อผ้าของ VICKTEERUT จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเธอได้สามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างอิสระ ซึ่งสาวๆ เหล่านี้มีทั้ง ผู้หญิงทำงาน และสาวสังคม ที่ชื่นชอบในด้านแฟชั่นและศิลปะ”
แป้งเสริมว่า การต่อยอดเพื่อทำให้แบรนด์ VICKTEERUT เป็นที่รู้จักของผู้คนและมีลูกค้ามากขึ้น อยู่ที่ความเป็นตัวตนที่ชัดเจนของแบรนด์เอง และการมีทีมดีไซเนอร์ที่ไม่เคยรู้สึกแก่หรือล้าสมัย (Outdated) อีกส่วนหนึ่งก็คือ แบรนด์วิคธีร์รัฐ (VICKTEERUT) เองก็นำเสนออะไรใหม่ๆ และความอินโนเวทีฟ (Innovative) เล็กๆ น้อยๆ สอดแทรกอยู่ทั้งในงานออกแบบ และวิธีที่แบรนด์ใช้สื่อสารกับลูกค้าอยู่เสมอ นี่เองที่ทำให้แบรนด์ไม่เคยแก่ และเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ได้เพิ่มขึ้น
“สำหรับช่องทางการโปรโมตและการทำการตลาด แบรนด์เราจะมุ่งเน้นไปที่การตลาดออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเหมาะกับยุคปัจจุบันนี้ที่สุดแล้ว โดยนำเสนอคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ของแบรนด์ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มการรับรู้ให้กับลูกค้าของแบรนด์เรา ส่วนกลยุทธ์ในการทำธุรกิจของแบรนด์ในปี 2023 อย่างที่บอก ว่าเรามุ่งเน้นไปที่การทำการตลาดออนไลน์ รวมทั้งการเพิ่มช่องทางในการขายอีก 1 ช่องทางซึ่งเป็น Marketplace ด้วย นั่นก็คือการขายผ่านทาง shopee ค่ะ”
อัพเดตได้ที่ Facebook : Vickteerut , Instagram : Vickteerutofficial , Line Official : @vickteerut และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
อนันทา (Ananta) เครื่องประดับจิวเวลรี่สุดยูนีค โดนใจคนรุ่นใหม่
ด้าน วิน-ธนันชัย กนกวลีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันทา จิวเวลรี่ จำกัด คนรุ่นใหม่ไฟแรง เจ้าของแบรนด์เครื่องประดับอนันทา (Ananta) เล่าถึงที่มาของธุรกิจว่า “ตอนนี้ผมเป็นเจนฯ ที่ 2 ของธุรกิจแล้ว โดยเจนฯ แรกเริ่มจากเป็นธุรกิจของครอบครัวเรา ซึ่งแต่ก่อนเคยมีร้านที่ขายทั้งกระเป๋าขายทั้งจิวเวลรี่อยู่ที่อัมรินทร์พลาซ่า กระทั่งเมื่อ 14-15 ปีที่แล้ว เราได้ย้ายจากตรงนั้นมาทำจิวเวลรี่แบรนด์อนันทา (Ananta) โดยมาเปิดร้านที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็คือเซ็นทรัลเวิลด์นี่เอง”
วินบอกว่า จากแต่ก่อนขายแต่พลอย เมื่อมาทำแบรนด์อนันทาก็เปลี่ยนมาขายเพชรมากขึ้น ช่วงแรกก็ยังไม่ได้มีลูกค้าที่ชัดเจนมากนัก เขาจึงเริ่มทำเว็บไซต์ เริ่มโปรโมตในเว็บบอร์ด ทำให้เริ่มมีกลุ่มคนที่มองหาแหวนเพชรและแหวนแต่งงานมาเป็นลูกค้าเพิ่มขึ้น นี่จึงเป็นที่มาของแบรนด์อนันทาที่ขายแหวนเพชรเบอร์อันดับต้นๆ ของเมืองไทย
“เดิมทีผมเรียนจบจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ (ภาคอินเตอร์) เมื่อเรียนจบผมก็ไปเรียนทาง ด้านอัญมณีต่อ ประกอบกับผมเป็นคนชอบค้าขายมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนอายุ 13 ผมก็ขายเสื้อผ้าและรองเท้าบนอินเทอร์เน็ตแล้ว แถมยังมีความใฝ่ฝันอยากจะเปิดร้าน Multi Brand ของตัวเองด้วย แต่พอต้องมาช่วยดูแลธุรกิจครอบครัวเพราะผมเป็นลูกชายคนเดียว ผมก็เลยมาสานต่อธุรกิจด้านจิวเวลรี่อย่างจริงจัง
ปัจจุบันแบรนด์อนันทามีทีมนักออกแบบประมาณ 50 คน โดยแบ่งเป็นหลายทีมคอยแบคอัพอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้ผมจะโฟกัสธุรกิจเฉพาะในไทยเป็นหลักก่อน เพราะเราอยากจะเป็นจิวเวลรี่แบรนด์ไทยที่ครองใจคนรุ่นใหม่ให้ได้ ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าวัยผู้ใหญ่เท่านั้น แต่จุดหมายสำคัญของเราคือแบรนด์อนันทาอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้คนในทุกโมเมนต์ที่น่าจดจำ พูดง่ายๆ ว่าแหวนเพชรไม่ได้มีแค่เรื่องแต่งงานอย่างเดียว แต่เราสามารถมอบให้กันในโอกาสอื่นๆ ได้ด้วย เช่น วันเกิด เพื่อนมีลูก เงินเดือนขึ้น ได้งานใหม่ หรือวันครบรอบต่างๆ ก็สามารถมอบจิวเวลรี่ให้กันได้ครับ”
วินเสริมว่า อนันทามีเครื่องประดับครบ ทั้งสร้อย แหวน กำไล ฯลฯ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ Fine Jewelry ที่เป็นเพชรและทองเป็นหลัก… “ถ้าพูดถึงกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ จะเด็กลงมานิดนึง คืออายุตั้งแต่ 25–40 ปี ที่สำคัญจิวเวลรี่ของอนันทาราคาไม่ได้สูงจนเกินไป เริ่มต้นที่ 8,900 บาทเองครับ ตอนนี้สาขาของอนันทามีด้วยกัน 4 แห่งคือ เซ็นทรัลเวิลด์ , เซ็นทรัลพระราม 9 , เซ็นทรัลลาดพร้าว และเซ็นทรัลปิ่นเกล้า นอกนั้นลูกค้าสามารถเลือกชมและเลือกซื้อผ่านออนไลน์ได้เช่นกัน ทั้ง FB / IG : anantajewelry, Line : @ ananta ครับ”
“สำหรับกลยุทธ์การตลาดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เราอยากให้คนนึกถึงแหวนเพชรของเรา แต่ในปี 2023 นี้เราอยากขยายสาขา เพิ่มความน่าสนใจของสินค้าให้มากขึ้น รวมทั้งเพิ่มการสื่อสารให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์เราในโอกาสต่างๆ มากขึ้นด้วย ผมอยากจะให้ความเป็นแบรนด์อนันทาสามารถเข้าไปอยู่ในใจคนรุ่นใหม่ได้ เพราะคนรุ่นใหม่จะมองว่าจิวเวลรี่มันดูแก่ ดูเป็นคุณแม่คุณย่า เราจึงอยากสร้างภาพใหม่ให้วัยของคนที่ใช้อนันทาดูมีวัยที่ลดลง รวมทั้งใช้คนดังอย่าง เดียร์น่า ฟลีโป , ปอย ตรีชฎา และอ้อม-พิยะดา มาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ให้กับแบรนด์ในปี 2022 เป็นต้น ซึ่งธุรกิจแบรนด์เราก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปีครับ”
Mook V Bag กระเป๋าผ้าทอจากเส้นใยพรม มีสไตล์ ไม่ซ้ำใคร
สำหรับ มุก-เพลินจันทร์ วิญญรัตน์ เจ้าของบริษัท บียอนด์ ลิฟวิ่ง จำกัด ซึ่งทำธุรกิจรับทอพรมและปลอกหมอนให้กับโรงแรมต่างๆ เป็นอีกคนที่ต่อยอดธุรกิจกระเป๋าแฟชั่นผ้าทอไทยแบรนด์ Mook V Bag จากธุรกิจเดิม จนกลายเป็นธุรกิจแฟชั่นที่มีความยูนีคที่สุดแบรนด์หนึ่งของไทย
“จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Mook V Bag เริ่มตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งช่วงนั้นลูกค้าออเดอร์พรมเข้ามาน้อย มุกจึงมีเวลาว่าง ก็เลยคิดว่าทำไมเราไม่ทอพรมให้บางลงหน่อย แล้วนำมาพับเป็น 3 ตอน มันน่าจะกลายเป็นกระเป๋าคลัชต์ได้นะ ประกอบกับเส้นใยที่เราสั่งมาเพื่อทอพรมในโรงงานมันมักจะเหลือทิ้งเยอะ มุกเลยเสียดาย จึงเก็บเส้นใยสีต่างๆ เหล่านี้ไว้เยอะมากๆ ที่จริงตอนแรกแค่ตั้งใจจะทำกระเป๋าไว้ใช้เอง แต่พอเพื่อนๆ มาเห็นแล้วชอบ มุกเลยทำขายเพื่อนๆ แล้วก็เริ่มโพสต์ขายบนอินสตาแกรม (IG) เพื่อนๆ ก็มาช่วยกันอุดหนุนเยอะเลย”
“กระทั่งเริ่มขายดีจนกลายเป็นธุรกิจจริงจัง เราจึงตั้งชื่อแบรนด์ว่า Mook V ซึ่งมาจากชื่อเล่น มุก บวกกับ วี อักษรตัวแรกของนามสกุล โดยสินค้าชิ้นแรกเริ่มจากกระเป๋าคลัชต์แบบพับสามตอนซึ่งใส่ซับในเข้าไป แล้วก็เย็บตามรูปทรงของมัน จนพัฒนามาเป็นกระเป๋าทรงกระบอกที่มีซิปรูดด้านบน กระเป๋าบางใบทอจากเส้นใยที่เหลือจากการทอพรม บางใบก็ทอจากเชือกฟางที่เหลือบ้าง ช่วงหลังจึงพัฒนาออกมาเป็นคอลเลคชั่น มีโลโก้ที่ซิป รวมทั้งมีถุงใส่สินค้าที่มีชื่อแบรนด์ติดอยู่ด้วย”
มุกบอกว่า ปัจจุบัน Mook V มีกระเป๋าหลากหลายดีไซน์ในแต่ละคอลเลคชั่น มีทั้งกระเป๋าคลัชต์ (หนีบรักแร้) กระเป๋าถือ และกระเป๋าสะพายข้าง โดยในหนึ่งคอลเลคชั่นจะมี 4-5 แบบ แต่ว่าจะมีหลายลาย แถมบางคอลเลคชั่นยังได้แรงบันดาลใจมาจากลวดลายภาพวาดของศิลปินคนโปรดระดับโลกของเธออีกด้วย
“รุ่นที่ขายดีที่สุดจะเป็นกระเป๋าสะพายข้าง อย่างสายกระเป๋าบางรุ่นที่เราเลิกผลิตไปแล้ว มุกก็จะนำสายกระเป๋ารุ่นนั้นมาดัดแปลงเป็นเข็มขัด คือมันอยู่ที่ไอเดียของเราค่ะ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือมุกต้องการมอบความพิเศษให้กับลูกค้าด้วย คือกลุ่มลูกค้าของแบรนด์เราจะเป็นกลุ่ม Very Unique อยู่แล้ว ยิ่งบวกกับความเป็นศิลปินของเราเข้าไปด้วย กระเป๋าแบรนด์เราจึงยิ่งยูนีคเข้าไปใหญ่ ทุกวันนี้ เสื้อผ้า กระเป๋า และเครื่องประดับต่างๆ ที่มุกใช้ มุกทำเองใส่เองจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว คือมันเป็นตัวตนของเราจริงๆ และเป็นความภาคภูมิใจของเราด้วยค่ะ”
แม้ช่วงโควิด 19 ที่ผ่านมาจะมีผลกระทบต่อธุรกิจไม่น้อย แต่เธอและหุ้นส่วนก็ประคับประคองจนผ่านพ้นวิกฤตมาได้ เรียกว่ารายได้ของแบรนด์ในปัจจุบันนั้นก็สามารถเลี้ยงคนในบริษัทได้อย่างดี
“เมื่อก่อนเรามีร้านที่เกษรวิลเลจ แต่ในช่วงโควิด 19 ระบาด มุกจึงตกลงกับหุ้นส่วนว่า เราปิดร้านไปก่อนดีกว่า แล้วเน้นการขายออนไลน์แทน ซึ่งยุคนี้ถือเป็นการต่อยอดแบรนด์ของเราให้ขายต่อไปได้ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัย 30+ หรือวัยทำงานที่มีความยูนีคหน่อย Mook V Bag ราคาไม่แพงมาก มีเงิน 4,000-6,000 บาทก็ซื้อได้แล้ว ในการทำธุรกิจกระเป๋านี้ หลักการที่มุกยึดถือก็คือ Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ดังนั้น เราจึงใช้เส้นใยที่เหลือจากการทอพรมแล้วนำมาทอเป็นกระเป๋าที่สวยงามอย่างที่เห็น ซึ่งเป็นการหมุนเวียนของเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง”
อัพเดตได้ที่ IG : @mookvbag และเลือกซื้อออนไลน์ได้ที่ : Lazada


