ไร่หมุนเวียน : วัฒนธรรมเกษตรวิถี
ไร่เลื่อนลอยนั้นมีจริง ไร่หมุนเวียนก็มีจริง ไร่เลื่อนลอยทำลายป่า แต่ไร่หมุนเวียนบำรุง รักษาป่า ไร่หมุนเวียนถูกทำให้เข้าใจไปว่าเป็นไร่เลื่อนลอย จึงกลายเป็นมายาคติว่าไร่หมุนเวียนเป็นการทำลายป่า
**********
ประสาร มฤคพิทักษ์ : [email protected]
ไร่เลื่อนลอยนั้นมีจริง ไร่หมุนเวียนก็มีจริง ไร่เลื่อนลอยทำลายป่า แต่ไร่หมุนเวียนบำรุง รักษาป่า ไร่หมุนเวียนถูกทำให้เข้าใจไปว่าเป็นไร่เลื่อนลอย จึงกลายเป็นมายาคติว่าไร่หมุนเวียนเป็นการทำลายป่า
“ไร่หมุนเวียน คือระบบการผลิตพื้นบ้านของคนกะเหรี่ยงและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่บนที่สูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และที่อื่นๆ โดยประยุกต์จากกระบวนการของนิเวศป่าเขตร้อนชื้นด้วยการทำการผลิตในระยะสั้น และปล่อยพักฟื้นระยะยาวจนผืนดินคืนความสมบูรณ์แล้วจึงวนกลับมาทำที่เดิม”
(ดร. กฤษฎา บุญชัย - LDI)
คุณอัครเดช วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. แม่ฮ่องสอน ให้ข้อมูลกับผู้เขียนเมื่อ 2 มีค. 65 ในโอกาสที่ร่วมคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพฯ วุฒิสภา ไปเยือนแม่ฮ่องสอน
“ตอนเรียนหนังสือ ผมเข้าใจว่าชาวกะเหรี่ยงทำไร่เลื่อนลอยตัดไม้ทำลายป่า พอได้มาทำงานกับชาวกะเหรี่ยง ผมพบความเป็นจริงว่า ผมเข้าใจผิดแบบตรงกันข้าม ชาวกะเหรี่ยงไม่ได้ทำไร่เลื่อนลอย แต่ทำไร่หมุนเวียนเป็นวิถีชีวิตของเขามานับร้อยปี เป็นชีวิตคนบนดอย ที่ปลูกข้าวโดยอาศัยน้ำฝนจากฟ้า ไม่มีระบบชลประทานแบบชาวนาในที่ราบ เขาต้องบำรุงดิน บำรุงป่าด้วยการหมุนเวียนพื้นที่ปลูกข้าวไปตามรอบระยะเวลาที่เขาจะกำหนดกัน ทำให้ป่ามีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาด้วยตนเอง”
ตั้งแต่อดีต ป่าไม้ทางภาคเหนือของไทย ถูกทำลายจากบริษัททำไม้ และจากการทำไร่เลื่อนลอย โดยถางป่าเพื่อปลูกฝิ่นปลูกกัญชาของคนบางกลุ่ม ทำเกษตรระยะสั้น เมื่อดินเสื่อมสภาพก็ถางป่าต่อไป แต่ที่หนักหน่วงที่สุดจนเห็นภาพเขาหัวโล้นทั่วไป คือการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่นข้าวโพด มันสำปะหลังเพื่อป้อนโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งมีผลทำลายป่าต้นน้ำ ทำให้ดินพัง นำไปสู่ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ที่ต้องตามแก้ไขกันไม่หวาดไม่ไหวในทุกวันนี้
ที่ ต. ห้วยปูลิง อ. เมือง แม่ฮ่องสอน ในเวลานี้ชาวบ้าน 563 หลังคาเรือน 11 หมู่บ้าน มีจำนวน 3,162 คน เป็นกะเหรี่ยงทั้งหมด เขาสืบทอดวิถีวัฒนธรรมไร่หมุนเวียนของบรรพบุรุษมานานกว่า 200 ปีแล้ว
ณ บ้านหนองขาวกลาง ในตำบลนั้น ไร่หมุนเวียนมีรอบระยะ 10 ปี สำหรับชาวบ้านกว่า 300คนทั้งหมู่บ้าน ใช้พื้นที่ปีละ 50 ไร่ การหมุนเวียน 10 รอบ 10 ปี จะใช้พื้นที่รวม 500 ไร่
พอเข้าปีต่อไปก็จะขยับไปยังพื้นที่ 50 ไร่ ต่อไปเมื่อครบ 10 ปี พื้นดิน 50 ไร่แรก จะสั่งสมความอุดมสมบูรณ์เต็มที่รอรับความงอกงามของข้าวไร่และพืชผักรอบระยะถัดไป
พะตีจ่อโก นายก อบต.ห้วยปูลิง ให้สัมภาษณ์ คุณภาสกร จำลองราช แห่งสำนักข่าวชายขอบว่า
“ที่บ้านหนองขาวกลาง เรามีคณะกรรมการไร่หมุนเวียนของหมู่บ้านประชุมตกลงกันทุกปีว่าใคร จะใช้พื้นที่มากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครไปรุกป่าเพิ่ม เป็นความเชื่อของบรรพบุรุษที่ช่วยกัน สืบทอดรักษา”
ย้อนไปเมื่อ 4 เมย. 64 ผู้เขียนไปเยือนบ้านห้วยหินลาดใน อ. เวียงป่าเป้า จ. เชียงราย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ต้นน้ำชั้นหนึ่ง A เด็กหนุ่มกระเหรี่ยง ชื่อ “ใจ” พาเดินดูพื้นที่ไร่หมุนเวียน ซึ่งห่างจากหมู่บ้านราว 2 กม. หนุ่มใจชี้ให้ดูพื้นที่ตรงหน้า แล้วบอกว่า
“นี่คือการทำไร่หมุนเวียนของครอบครัวหนึ่งราว 2 ไร่ ที่โล่งตรงนั้น เป็นพื้นที่เผาแล้วเตรียม ลงข้าวไร่ ถัดไปทางขวาเห็นไม้ป่าระดับบั้นเอว คือป่ากำลังฟื้นตัว ถัดไปอีก ต้นไม้สูงขึ้นลดหลั่นตามวันเดือนปีที่ผ่าน พอปีที่ 7 ครบรอบระยะ ค่อยเวียนกลับมาปลูกข้าวบนพื้นดินโล่งนี้อีกที เราปลูกพริก มะเขือ ถั่ว แตง แทรกในไร่ข้าว”
การสับเปลี่ยนหมุนเวียน คือการปล่อยให้ผืนดินสั่งสมความอุดมตามธรรมชาติ เพื่อรอรับการเพาะปลูกรอบหมุนเวียนใหม่ ทำไมต้องโค่น ฟัน ถางและเผา
ปลายเดือนมกราคม จะมีการถางไร่โดยเก็บตอไม้สูงจากพื้นดินราว 1 เมตรเอาไว้ รากไม้และตอไม้ยังคงอยู่ มีความแข็งแรง ยึดโครงสร้างของดินไว้ไม่ให้พังทลาย ขณะเดียวกันก็แตกกิ่งแตกยอดใหม่ได้
อ. สมศักดิ์ สุขวงศ์ นักวิชาการนิเวศ ชี้ว่า
“ประเทศในเขตร้อน เป็นประเทศพื้นดินหลังภูเขาไฟราว 50 ล้านปี เขตภูเขาจะมีธาตุอาหารในดินน้อย ชุมชนจึงต้องอาศัยธาตุอาหารจากใบไม้ ไร่หมุนเวียนจึงเป็นเกษตรภาคบังคับที่เหมาะสมกับภูมินิเวศแบบไหล่เขาลาดเอียง (Slope) จึงต้องถางไม้หนุ่มลง ส่วนไม้ใหญ่ก็ริดกิ่งแล้วเผา เพื่อสร้างปุ๋ยในดินตามธรรมชาติ ไม่ต้องการปุ๋ยเคมีใดๆ ข้าวและพืชพันธุ์ จึงเป็นผลผลิตสะอาด (Clean Product) ที่ไร้สารปนเปื้อนอย่างสิ้นเชิง”
งานวิจัยของ อานันท์ กาญจนพันธุ์ และคณะ (2546) พบว่าไร่หมุนเวียน (ภาษากะเหรี่ยง เรียกว่า “คึฉื่ย”) มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีพันธุ์พืชหมุนเวียนอยู่ในไร่ถึง 207 สายพันธุ์ เป็นภูมินิเวศที่เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ผ่านกระบวนการปฏิบัติทางธรรมชาติ
แล้วทำไม ไร่หมุนเวียนจึงกลายเป็นแพะรับบาป ที่ถูกตีตราว่าเป็นระบบการผลิตล้าหลังที่ไร้ประสิทธิภาพและยังทำลายป่าอีกด้วย
เหตุผลก็อยู่ที่ว่าไร่หมุนเวียน เป็นการเกษตรทระนงตนที่สามารถเดินไปได้ด้วยตนเองอย่างกล้าหาญ เป็นอิสระบริหารจัดการเองได้ เก็บและเลือกเมล็ดพันธุ์เอง ไร่หมุนเวียนไม่ยอมจำนนต่อสารเคมีทั้งปวง ไม่ต้องพึ่งกลไกตลาด จึงกลายเป็นเหยื่อมายาคติที่ถือว่า กะเหรี่ยง “ไม่ใช่คนไทย” ว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคง” ว่า “ทำลายป่า”
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 3 สิงหาคม 2553 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครม. มีมติเรื่องแนว นโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยให้เพิกถอนพื้นที่ประกาศทับซ้อนที่อยู่อาศัยเดิม ทั้งให้ยุติการจับกุมชาวกะเหรี่ยงที่ อยู่ในพื้นที่มาก่อน และรับรองความชอบธรรมในวิถีวัฒนธรรมไร่ หมุน เวียนของชาวกะเหรี่ยง ขณะนี้สามารถประกาศเขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงหลายพื้นที่แล้ว
สืบเนื่องจากมติ ครม. 3 สค. 53 มีการตั้งอนุกรรมการศึกษาความเป็นไปได้ ให้ไร่หมุนเวียนเป็นมรดกทางภูมิปัญญาวัฒนธรรม ในที่สุดกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ก.วัฒนธรรม ยอมรับและประกาศให้ไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยงเป็นมรดกทางภูมิปัญญาวัฒนธรรม ในปี 2556
ในระดับโลก องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้ประกาศให้ไร่หมุนเวียน เป็นระบบวนเกษตรระบบหนึ่งที่สร้างความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศ และระบบนี้ไม่ได้ ทำลายป่าอย่างที่เคยเข้าใจกัน
คุณลุงประเสริฐ ประดิษฐ์ ชาวไทใหญ่ ซึ่งเป็นประธานสภาวัฒนธรรม จ. แม่ฮ่องสอน บอกกับผู้เขียนว่า
“ผมท้าพิสูจน์ได้เลย ใครที่คิดว่ากะเหรี่ยงทำไร่เลื่อนลอยทำลายป่า ขอให้ไปดูได้ที่ ต.ห้วย ปูลิง อ. เมือง และที่ ต. แม่กิ๊ อ. ขุนยวม จ. แม่ฮ่องสอน ชาวกะเหรี่ยงทั้งสองตำบล รวมแล้ว 16 หมู่บ้านกับ 5 หย่อมบ้าน หลายพันคน ดำเนินวิถีชีวิตไร่หมุนเวียนเป็นการรักษาป่าอย่างยอดเยี่ยม เวลานี้ จ. แม่ฮ่องสอน มีความหลากหลายทางชีวภาพ อุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศ รักษาพื้นที่ป่าได้ถึง 71.37 % ”
ถึงอย่างนั้น ชาวกะเหรี่ยงที่บางกลอย แก่งกระจาน เพชรบุรี ซึ่งทำไร่หมุนเวียน เป็นวิถีชีวิต และอยู่มาก่อนที่หมู่บ้าน “ใจแผ่นดิน” ก็ยังเป็นเหยื่อมายาคติดังกล่าว จนถูกไล่รื้อบ้านต้องอพยพลงมา และยังเป็นปมปัญหาของภาครัฐอยู่ในทุกวันนี้
ภาครัฐและทุน ต้องยอมรับการมีอยู่จริงของไร่หมุนเวียนว่า ไร่หมุนเวียนเป็นวิถีชีวิตทางวัฒนธรรม เป็นระบบการดูแลรักษาป่าที่มีคุณนานาประการต่อนิเวศธรรมชาติทั้งระบบ ควรแก่การต้อนรับให้ดำรงและพัฒนาไปในทิศทางที่เคารพในคุณค่าตามความเป็นจริง


