เก่งอย่างเดียวไม่รอด มันต้องแกร่งด้วย
โดย ภก.ดร.จันทรชัย ถวิลพิพัฒน์กุล สถาบันอินทรานส์ Hipot – การปฏิรูปศักยภาพมนุษย์อย่างบูรณาการศาสตร์ชีวิตองค์รวมเพื่อความมั่นคงยั่งยืน
ปัญหาความมั่นคงทางอารมณ์โลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและซับซ้อน เทคโนโลยีก้าวไกลในอัตราเร่ง สร้างแรงกดดัน องค์กรพยายามเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน ทุกคนพยายามก้าวให้ทัน บางคนทำสำเร็จ แต่ส่วนใหญ่ล้มเหลว หลายคนภายนอกดูดี มีศักยภาพ มีความรู้ แก้ปัญหาเป็นระบบ มีความคิดที่แปลกใหม่ แต่ลึกๆ กลับขาดความมั่นใจ ภายในหวั่นไหว เปราะบาง บ่อยครั้งใช้อารมณ์ ควบคุมตนเองไม่ได้ มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน มองคนอื่นว่ามาตรฐานต่ำ เล่นไม่เป็นทีม ขาดเอกภาพ สุดท้ายไปไม่รอด ท่านคิดว่าเพราะอะไร
สาเหตุ
เราพบว่าบุคคลเหล่านี้มักมีความสามารถด้าน IQ สูง แต่มี EQ ต่ำ ทั้งสองส่วนนี้ มันคนละเรื่องกันเลย IQ ใช้ความรู้ ส่วน EQ ใช้ความรู้สึก ความรู้มิใช่ความรู้สึก ความรู้ช่วยให้คิดเก่ง เน้นเก่งงาน มีหลักตรรกะเหตุผลดี แก้ปัญหาเก่ง มีเทคนิคดี มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ความรู้สึกจะแสดงออกมาในด้านความมั่นทางอารมณ์ ความเข้มแข็งภายใน ความเชื่อมั่น การควบคุมตนเอง การนำตนเองได้
ความสามารถทั้งสองอย่างนี้ มันเป็นต้นทุนคนละประเภท มันคนละเรื่องกันเลย เด่นด้านใดด้านหนึ่ง ไปไม่รอด โดยส่วนใหญ่ ประเด็นทาง IQ มิได้สร้างปัญหามากเท่ากับประเด็นด้าน EQ บุคคลจึงแสดงออกเป็นปัญหาทางสังคมและครอบครัวอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ที่แสดงออกมาในรูปของการใช้อารมณ์ เครียด กดดัน หงุดหงิด ชอบเหวี่ยงใส่คนอื่น ขาดการไตร่ตรอง ฉุนเฉียวง่ายแม้เรื่องเล็กน้อย ความอดทนต่ำ ใครทักเป็นไม่ได้ โดยส่วนใหญ่ มักเป็นคนสมบูรณ์แบบ ระเบียบจัด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ยอมผ่าน ใครทำอะไรมักไม่เข้าตา มองว่ายังใช้ไม่ได้ บางคนชอบใช้อำนาจ บางคนชอบโอ้อวด ยกตนข่มท่าน เห็นคนอื่นด้อยกว่า ทั้งหมดนี้ทำให้ตนเองขาดความสุข ความสัมพันธ์ก็ไม่ราบลื่น ทีมงานขาดการมีส่วนร่วม เล่นไม่เป็นทีม ไม่ไปในแนวทางเดียวกัน องค์กรไม่บรรลุเป้าหมาย ส่วนรวมก็เสียหาย
เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุ เราต้องเข้าใจก่อนว่า อารมณ์สะท้อนมาจากตัวตน ตัวตนต้องการคุณค่าและความหมาย ในทุกกรณีที่มีการใช้อารมณ์ ขณะนั้น คุณค่าตนเองต่ำ ในขณะที่คุณค่าตนเองลดลง ตนจึงต้องแสวงมาเพิ่มเติม และเชื่อว่าสามารถหามาชดเชยได้จากปัจจัยภายนอก จึงต้องแสดงออกอย่างนั้นเพื่อหาคุณค่ามาเติม แต่เติมเท่าไหร่ มันก็ไม่เต็ม เพราะยิ่งเติม มันยิ่งขาด เมื่อยังขาด ก็ยิ่งเติม เมื่อไม่ได้ดังหวัง ภายในกดดัน จึงออกมาในรูปของการใช้อารมณ์ แต่หารู้ไม่ว่ามันต้องเติมจากภายใน
ดังนั้น สาเหตุหลักของความไม่มั่นคงทางอารมณ์ก็คือ คุณค่าตนเองมันพร่องไป และที่พร่องไปนั้นก็มาจากตนเองที่ไม่เห็นคุณค่าตนเอง
ทางออก
ประเด็นทางอารมณ์ที่แสดงออกมาในรูปของความไม่มั่นคง เปราะบาง ขาดความเชื่อมั่น ขาดภูมิต้านทาน นั่นเป็นเพราะบุคคลขาดความเข้มแข็งจากภายใน ในการพัฒนาความมั่นคงทางอารมณ์ มีประเด็นที่ต้องพิจารณา ดังนี้
1. ต้นทุนภายในต้องมาจากการเผชิญกับภาวะยากลำบากความท้าทายมีทุกวัน ไม่มีหมด ถ้าหนีปัญหา จะยิ่งหนัก เราต้องกล้าเผชิญกับมัน และยิ้มรับกับมัน แต่มิได้หมายความว่าจะสำเร็จทุกครั้งไป แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ มันล้วนคือต้นทุนทั้งสิ้น
ว่าไปแล้ว ความเข้มแข็งของบุคคลเปรียบได้กับเส้นใยอารมณ์ ปัญหาเปรียบได้กับเส้นลวดเล็กๆ ยิ่งเราเจอปัญหาและกล้าเผชิญกับมัน ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร หากเรามีมุมมองที่ถูกต้อง ในขณะที่เราคลุกฝุ่นอยู่กับมัน มันจะเหมือนเราพันเกลียวเส้นใยอารมณ์ของตนเองให้หนาขึ้น แข็งแกร่งขึ้น บุคคลจึงยิ่งมีความทนทานต่อแรงกระทบและแรงเสียดทาน สามารถยืนหยัด อดทน และยืดหยุ่น มีภูมิต้านทาน นั่นคือ ความเข้มแข็งทางอารมณ์ จึงสามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาได้อย่างมั่นใจ ไม่หวั่นไหว มีความสามารถในการเลือกตอบสนองได้อย่างเหมาะสม สามารถสร้างการนำตนเองได้ จึงเล่นเชิงรุกได้
ดังนั้น เราจึงต้องยิ้มรับกับความท้าทายที่ผ่านเข้ามาและกล้าเผชิญกับความยากลำบาก หมั่นฝึกฝน เรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อย ความเชื่อมั่นจะเกิดขึ้น เส้นใยอารมณ์จะแข็งแกร่ง เกิดความมั่นคงภายใน สร้างเป็นต้นทุนเพื่อการเติบโตให้กับตนเอง
2. ต้องพลิกฟื้นตนเองให้กลับมาเล่นเชิงรุก ผ่านการเห็นตนเองเชิงบวกจากการเผชิญกับภาวะยากลำบาก เพื่อมาเป็นต้นทุนของความเข้มแข็งภายใน ภาวะดังกล่าว จะช่วยให้บุคคลสามารถปรับสภาพและพลิกฟื้นคืนสภาพตนเองได้ และระเบิดศักยภาพภายในออกมาได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง เพื่อเล่นเชิงรุก แต่จะพลิกฟื้นกลับมาได้ บุคคลต้องปรับกรอบความคิดเสียใหม่ โดยเฉพาะมุมมองเชิงบวกที่มีต่อตนเอง มันคือ การเห็นคุณค่าตนเอง
ดังนั้น การปรับมุมมองเชิงบวกด้วยการเห็นคุณค่าตนเอง เข้าใจและยอมรับตนเองตามความเป็นจริง จึงมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคง ความเข้มแข็งภายใน และนี่คือต้นทุนชีวิตที่แท้จริง เพราะเป็นการเปลี่ยนที่ฐานราก (กรอบความคิด) ของความเป็นมนุษย์ และความสามารถดังกล่าว หากได้รับการฝึกอย่างสม่ำเสมอ มั่นใจได้ว่าบุคคลจะเข้มแข็ง
ยิ่งไปกว่านั้น การปรับมุมมองให้เห็นคุณค่าในความแตกต่าง จะช่วยให้บุคคลอื่นเห็นคุณค่าตนเองด้วย เมื่อต่างฝ่ายเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน จึงเกิดเป็นศรัทธา สามารถสร้างการมีส่วนร่วม นำไปสู่ทีมงานที่เข้มแข็ง
3. เรียนรู้จากความพลาดพลั้งนอกจากจะต้องเผชิญกับความท้าทายด้วยมุมมองที่มีต่อตนเองเชิงบวกแล้ว ไม่ว่าเราจะทำการใดๆ มันย่อมต้องมีความพลาดพลั้งเสมอ แต่ความพลาดพลั้งดังกล่าวมิใช่ความผิด แต่มันคือกระบวนการเรียนรู้ต่างหาก แต่ปัจจุบัน ด้วยสื่อโซเชียลที่แพร่หลายและสังคมเสพติด เน้นวัตถุนิยม ได้ชี้นำและสร้างความเปราะบางให้กับสังคม บุคคลส่วนใหญ่จึงอ่อนแอและมองความพลาดพลั้งเป็นความผิด ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิด เราจึงต้องปรับมุมมองใหม่ เอาผลที่ได้มาถอดรหัส เกิดการก้องสะท้อนภายใน และสร้างเป็นกระบวนการเรียนรู้เชิงลึก ฝังลงในจิตใต้สำนึก กลายเป็นต้นทุนทางปัญญาที่มีคุณค่า
เพราะด้วยมุมมองที่ถูกต้อง กล้าเผชิญกับความยากลำบาก เห็นตนเองมีค่า เห็นคุณค่าในความแตกต่าง เรียนรู้จากความพลาดพลัง ทั้งหมดนี้สามารถสร้างความเข้มแข็งภายใน เป็นความมั่นคงทางอารมณ์ เพื่อมาสร้างสมดุลกับความสามารถด้านปัญญา สร้างบุคคลและทีมงานให้แข็งแกร่ง สามารถรับมือกับปัญหาได้อย่างมั่นใจ เก็บเกี่ยวเป็นประสบการณ์ชีวิต กลายเป็นตันุทนที่สำคัญยิ่งต่อความสำเร็จ การเติบโต และความยั่งยืนของตนเอง ครอบครัว องค์กร และสังคม เพราะเก่งอย่างเดียวไม่รอด มันต้องแกร่งด้วย


