posttoday

131ปีเหียกวงเอี่ยม วีรชนจีนโพ้นทะเล

12 ธันวาคม 2553

คนไทยเชื้อสายจีนได้มีบทบาทในการต่อต้านกองทัพฝ่ายอักษะ โดยเฉพาะปรากฏวีรชนจีนโพ้นทะเล “เหียกวงเอี่ยม” ต้นตระกูลเอี่ยมสุรีย์ ใช้ชีวิตเข้าแลกต่อสู้เพื่อแผ่นดินเกิด และแผ่นดินผู้มีคุณ....

คนไทยเชื้อสายจีนได้มีบทบาทในการต่อต้านกองทัพฝ่ายอักษะ โดยเฉพาะปรากฏวีรชนจีนโพ้นทะเล “เหียกวงเอี่ยม” ต้นตระกูลเอี่ยมสุรีย์ ใช้ชีวิตเข้าแลกต่อสู้เพื่อแผ่นดินเกิด และแผ่นดินผู้มีคุณ....

ช่วงมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กองทัพฝ่ายอักษะเปิดฉากมหาสงครามเอเชียบูรพา ปรากฏคนไทยผู้รักชาติจัดตั้งกลุ่มกองกำลังขึ้นมาต่อต้าน ที่รู้จักกันดีคือ กลุ่มเสรีไทย แต่ก่อนหน้านั้นยังมีคนไทยเชื้อสายจีนได้มีบทบาทในการต่อต้านกองทัพฝ่ายอักษะ โดยเฉพาะปรากฏวีรชนจีนโพ้นทะเล “เหียกวงเอี่ยม” ต้นตระกูลเอี่ยมสุรีย์ ใช้ชีวิตเข้าแลกต่อสู้เพื่อแผ่นดินเกิด และแผ่นดินผู้มีคุณ

ชีวิต เหียกวงเอี่ยม เริ่มต้นเหมือนกับชาวจีนโพ้นทะเลอื่นๆ ถือกำเนิดใน พ.ศ. 2422 บนเกาะหน่ำโป่ยจิว ตรงปากแม่น้ำหั่งกัง มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ในครอบครัวที่ยากจน มีที่ดินปลูกผักยังชีพเพียงเล็กน้อย อาศัยการทำงานหามรุ่งหามค่ำเพียงเพื่อพอมีแค่อาหารประทังชีวิต ตกกลางคืนต้องนอนเบียดเสียดกันในบ้านเล็กๆ เก่าๆ ที่เช่าอยู่ ความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ทำให้ในวัยเด็ก เหียกวงเอี่ยม ได้เข้าเรียนหนังสือเพียง 3 เดือน เมื่ออายุ 17 ปี ก็ตัดสินใจจากบ้านเกิดเมืองนอน นั่งเรือสำเภากว่า 40 วัน มาเผชิญโชคที่เมืองบานัม ประเทศกัมพูชา เพื่อทำงานในโรงสุรา

131ปีเหียกวงเอี่ยม วีรชนจีนโพ้นทะเล เหียกวงเอี่ยม(ขวา) กับ พระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตนายกรัฐมนตรี

เหียกวงเอี่ยม ใช้ชีวิตที่กัมพูชา 6 ปี ก็ได้ตัดสินใจเดินทางเข้าประเทศไทย เริ่มทำงานหาบผักที่ห้างเซี่ยงกี่ ซึ่งมีธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้า โรงสี โรงงานผักกาดดอง จากนั้นย้ายไปขนของขึ้น-ลงที่ท่าเรือ ด้วยความขยัน ซื่อสัตย์ ทำให้ได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้างาน จนกระทั่งได้คุมการส่งสินค้าทั้งหมด รวมไปถึงการจัดการเรื่องภาษี สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปจากไทย และนำเข้าจากจีนกับฮ่องกง

การทำงานหนัก และได้รับมอบหมายงานเพิ่มขึ้น ทำให้ เหียกวงเอี่ยม มองเห็นช่องทางการค้า ครั้งแรกได้ใช้เงินสะสม 300 บาท ซื้อเรือสินค้าขนาดเล็ก 1 ลำ และเช่าเรืออีก 2 ลำ มาทำธุรกิจขนส่งสินค้าของตัวเอง จนกระทั่งอายุ 30 เศษ ได้ร่วมกับเพื่อนอีก 5 คน ตั้งบริษัท หลักสุง ทำกิจการขนส่งสินค้าทางเรือ จากเรือไม่กี่ลำ ก็กลายเป็นเรือสิบกว่าลำ ภายหลัง เหียกวงเอี่ยม ซื้อหุ้นจากเพื่อนทั้งหมด และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น หลักสุงเฮง จนกิจการก้าวหน้าเป็นลำดับ จากที่มีแค่เรือไม้ ก็กลายเป็นเรือสินค้าขนาดใหญ่ จากเรือล่องตามแม่น้ำ ก็เพิ่มเรือโป๊ะสำหรับส่งสินค้าไปยังเรือใหญ่ในทะเล

เหียกวงเอี่ยม ย้ายกิจการของตัวเองอีกครั้งไปปักหลักตรงริมน้ำเจ้าพระยา เขตบางรัก และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น กวงเฮง|หลี และแตกตัวไปในหลายธุรกิจ อาทิ ในช่วงที่ธุรกิจครั่งตกต่ำจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ราคาครั่งที่ใช้ในอุตสาหกรรมสีและแผ่นเสียงในยุคนั้นราคาเหลือตันละสิบกว่าบาท จาก 60 กว่าบาท เจ้าของสวน โรงงานครั่ง ประสบปัญหาทางการเงิน เหียกวงเอี่ยม เข้าไปซื้อสวนครั่งและโรงงานแปรรูป ในเวลาไม่นานนักราคาครั่งก็ฟื้นตัวจนทำกำไรอย่างมหาศาล

เหียกวงเอี่ยม ยังเข้าไปซื้อกิจการโรงสีข้าวกวงสุ่งหลี และบริหารจนขยายกิจการเป็นโรงสีกว่าสิบแห่ง จนในช่วง พ.ศ. 2500 เป็นกลุ่มโรงสีข้าวที่ใหญ่สุดในประเทศไทย นอกจากนั้นยังวางแผนปลูกปอกระเจาทำกระสอบ เพราะขณะนั้นข้าวไทยที่ส่งออกต้องใช้กระสอบนำเข้าจากอินเดีย เหียกวงเอี่ยม เข้าไปซื้อที่ดินประมาณ 4,000 ไร่ แถบบางนา บางพลี เพื่อวางปลูกปอ|กระเจา และตั้งโรงงานทอกระสอบ แต่โครงการต้องหยุดชะงักไป อันเนื่องมาจากการรับตำแหน่งสำคัญทางสังคม

ความคิดของ เหียกวงเอี่ยม ภายหลังประสบความสำเร็จทางธุรกิจก็ไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตอย่างร่ำรวย แต่กลับต้องการรับใช้สังคม เหียกวงเอี่ยม มักจะพูดกับผู้ที่รู้จักเสมอว่า “ผมจากบ้านเกิดมาด้วยสองมือเปล่า ทรัพย์สมบัติของผมที่มีอยู่ทั้งหมดนี่ได้มาจากสังคม จึงต้องคืนกลับไปให้สังคม หากไม่มีสังคมแล้ว ไฉนเลยจะมีทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้ หากไม่มีประเทศชาติ ไฉนเลยจะมีตัวผม”

เหียกวงเอี่ยม เข้าไปช่วยเหลือกิจการเพื่อสังคมอย่างมากมาย เริ่มตั้งแต่เป็นผู้ก่อให้เกิดสมาคมแต้จิ๋วในประเทศไทย ขณะเดียวกันด้านการศึกษาได้ให้เงินสนับสนุนโรงเรียน และเป็นประธานกรรมการโรงเรียนซิงมิ้งในกรุงเทพฯ การช่วยโรงเรียนประถมฉ่งชิก ที่เป็นโรงเรียนของลูกจีนที่ยากจน โรงเรียนมัธยมตงฮั้ว โรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่จุ้งไช้ รวมไปถึงการบริจาคให้กับโรงเรียนอื่นๆ อาทิ โรงเรียนอัสสัมชัญ และการสร้างโรงเรียนประถมที่บ้านเกิดในประเทศจีน

เหียกวงเอี่ยม ยังเข้าไปมีบทบาทสำคัญในมูลนิธิด้านสังคมสงเคราะห์ นั่นคือเป็นประธานคนแรกของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง หรือฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง หลังจากมีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย

จุดกำเนิดของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งมาจากการอพยพของคนจีนเข้าประเทศไทย บางรายเจ็บป่วยไม่มีญาติ เมื่อเสียชีวิตไม่มีคนดูแล จึงเกิดการสงเคราะห์เก็บศพให้ ในยุคแรกจะมีคนสวมหมวกจีน วิ่งเท้าเปล่า ลากรถไม้สองล้อคันยาวๆ ไปตามถนน บนรถจะบรรทุกศพ โดยการทำงานในยุคแรกของป่อเต็กตึ๊งไม่เป็นระบบ ไม่มีการหาแหล่งเงินทุนที่ชัดเจน ขนาดสำนักงานยังต้องอาศัยศาลเจ้าแห่งหนึ่งเป็นที่ทำงาน ทั้งหมดทำให้เกิดแนวคิดการปฏิรูปการทำงานของมูลนิธิขึ้นใน พ.ศ. 2479 ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกิจการ ในปีเดียวกันนั้นเองรัฐบาลได้อนุญาตให้ป่อเต็กตึ๊งเป็นมูลนิธิเพื่อการกุศลอย่างเป็นทางการ เหียกวงเอี่ยม ได้รับเลือกเป็นประธานคนแรก และอุเทน เตชะไพบูลย์ เป็นรองประธาน

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง หลังการปฏิรูปได้เกิดระบบการทำงานใหม่ ขยายขอบเขตอย่างกว้างขวางด้านสาธารณกุศลไปยังจังหวัดอื่นๆ เหียกวงเอี่ยม เป็นประธานอยู่ 3 สมัย จนกระทั่งถูกสังหาร อันเป็นผลจากการที่ เหียกวงเอี่ยม ทำงานในฐานะประธานหอการค้าไทย-จีน สมัยที่ 15 เมื่อ พ.ศ. 2479 และต่อเนื่องถึงสมัยที่ 16

หอการค้าไทย-จีน เป็นทั้งองค์กรตัวแทนของนักธุรกิจชาวจีน และองค์กรนำของคนจีนทั้งหมดในประเทศไทย ทำหน้าที่ประสานเชื่อมต่อระหว่างคนจีนในไทยกับรัฐบาลไทย รวมถึงทำหน้าที่กงสุลกลายๆ ในแง่การติดต่อธุรกิจการค้า ออกหนังสือรับรอง จัดการหนังสือเดินทางของคนจีนในประเทศไทยที่ต้องการกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด รับรองผู้นำด้านต่างๆ จากประเทศจีน เนื่องจากช่วงเวลานั้นรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนยังไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต

การดำรงตำแหน่งประธานหอการค้าไทย-จีน ทำให้ เหียกวงเอี่ยม ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดทางสังคม ทว่าการรับตำแหน่งเป็นประธานหอการค้าของ เหียกวงเอี่ยม อยู่ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไฟสงครามลามมาถึงเอเชียด้วย เป้าหมายแรกเป็นการบุกยึดจีน จากนั้นเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไทย

ช่วง พ.ศ. 2480 จีนถูกบุก เหียกวงเอี่ยม เปิดฉากต่อสู้ด้วยการรณรงค์ต่อต้านสินค้าของฝ่ายที่บุกรุกรานจีน ภายใต้การนำของหอการค้าไทย-จีน จากกรุงเทพฯ ซึ่งสร้างกระแสการต่อต้านแพร่ไปยังจังหวัดใกล้เคียง สำหรับธุรกิจส่วนตัว เหียกวงเอี่ยม สั่งให้ขบวนเรือยุติการขนส่งสินค้า ทุกโรงสีไม่ขายข้าวให้ เลิกทำการค้ากับคู่สงครามทุกประเภท

หอการค้าไทย-จีน ยังเปิดรับบริจาคเงิน ขายพันธบัตรระดมเงินไปช่วยรบ รวมถึงส่งผู้แทนไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียอาคเนย์ เพื่อประสานงานเป็นเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร กระทั่งในเดือน เม.ย. 2482 เหียกวงเอี่ยม ได้รับเชิญไปประชุมสภามณฑลกวางตุ้ง ท่ามกลางไฟสงครามในประเทศจีน ช่วงขากลับจากจีนนั้นเอง ขณะที่ เหียกวงเอี่ยม แวะพักที่เวียดนาม ก็ได้ข่าวจากเมืองไทยว่ากำลังเกิดความเคลื่อนไหว เป้าหมายสำคัญคือการขัดขวางไม่ให้ เหียกวงเอี่ยม กลับเมืองไทย

ครั้งนั้นมีความเห็นเป็น 2 ฝ่าย โดยฝ่ายแรกให้ เหียกวงเอี่ยม พักอยู่ที่เวียดนามสักพักเพื่อความปลอดภัย กับอีกฝ่ายต้องการให้กลับ เนื่องจากในประเทศไทยขาดผู้นำการรวมพลังต่อสู้ สุดท้าย เหียกวงเอี่ยม ตัดสินใจกลับ แต่แทนที่จะใช้เส้นทางจากไซ่ง่อนไปกรุงพนมเปญ ผ่านเมืองพระตะบอง เข้าสู่ไทยด้านอรัญประเทศ ซึ่งเป็นเส้นทางปกติที่ใช้เดินทางกันในขณะนั้น เหียกวงเอี่ยม ก็เลือกจะอ้อมไปทางเหนือ ผ่านเมืองปากเซในประเทศลาว เข้าไทยด้าน จ.อุบลราชธานี เพื่อความปลอดภัย

แต่แล้วในค่ำวันที่ 21 พ.ย. 2482เหียกวงเอี่ยม ถูกยิงที่หน้าโรงงิ้วฮั้งจิว ย่านเยาวราช ก่อนไปสิ้นลมที่โรงพยาบาลกลาง คำพูดสุดท้ายที่ เหียกวงเอี่ยม บอกต่อภรรยาก็คือ ...ถึงฉันจะตายไป พวกเธอก็อย่าได้เศร้าโศกเสียใจ ประเทศจีนจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
2 ปีหลังจาก เหียกวงเอี่ยม เสียชีวิต ประเทศไทยถูกบุก ชาวจีนในเมืองไทยหลายคนถูกจับกุม กิจการเดินเรือสินค้าของ เหียกวงเอี่ยม ทั้งหมดถูกยึด และโรงสี 2 แห่ง ก็ถูกยึดเช่นกัน

หลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ร่างของ เหียกวงเอี่ยม ได้รับการฝังไว้ที่ศาลที่ระลึก อ.บางปูใหม่ จ.สมุทรปราการ โดยในวันที่ 16-18 ธ.ค. 2553 นี้ จะมีการประกอบพิธีฌาปนกิจให้ เหียกวงเอี่ยม ณ วัดเทพศิรินทร์ โดยมีสมาคมหอการค้าไทย-จีน สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และสมาชิกตระกูลเอี่ยมสุรีย์ เป็นเจ้าภาพ

และพิธีดังกล่าวเป็นการแสดงความอาลัยวีรชนจีนโพ้นทะเล ผู้รักแผ่นดินเกิดและแผ่นดินไทยผู้มีคุณจนลมหายใจสุดท้าย

ข่าวล่าสุด

จ่อตั้ง 1 จังหวัด 1 คลินิก 'การแพทย์แม่นยำ' ถอดรหัสพันธุกรรมโรคมะเร็ง-โรคหายาก