ความลับของตรอกเต๊าที่ซ่อนในซอกหลืบของเยาวราช
ประวัติศาสตร์ยุคต้นกรุงที่ยังมีชีวิตชีวา ในวัดโบราณที่ถูกครอบด้วยตึกเก่าคลาสสิก
ประวัติศาสตร์ยุคต้นกรุงที่ยังมีชีวิตชีวา ในวัดโบราณที่ถูกครอบด้วยตึกเก่าคลาสสิก โดย กรกิจ ดิษฐาน
ในตรอกเต๊า เยาวราชซอย 8 มีประวัติศาสตร์อันยาวนานของการค้าประเวณี แต่ปัจจุบันไม่มีโรงหญิงรับชำเราบุรุษอีกต่อไป ที่ปากตรอกเข้ามาไม่ไกล มีร้านอาหารรุ่นลายครามอยู่ร้านหนึ่งชื่อไท้เฮง ขายสุกี้สูตรเก่ากับข้าวมันไก่
ไท้เฮงขึ้นชื่อเรื่องไก่กับสุกี้ แต่ตรงกันข้ามไท้เฮงกลับเป็นที่อยู่ของผู้ที่ถือศีลกินเจ คือวัดจีนนิกายที่ซ่อนตัวอยู่ในตึกทรงวินเทจ หากเกินเข้ามาโดยไม่ทันสังเกตจะไม่รู้ว่านี่คือวัด
วัดแห่งนี้เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สร้างมาตั้งแต่บางกอกเพิ่งจะเมืองหลวงของไทยมาหมาดๆ ทุกวันนี้ตัววัดในอาคารทรงจีน ถูกตึกทรงคลาสสิกรุ่นก่อนสงครามโลกสร้างคลุมไว้ ด้านนอกจึงคล้ายบ้านตึกของคหบดีเยาวราชยุคเก่า แต่ด้านในคือวัดดีๆ นี่เอง
วัดนี้มีชื่อว่าวัดบำเพ็ญจีนพรต ตามประวัติกล่าวว่า เดิมเป็นวิหารพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ร้าง ชื่อ "ย่งฮกอำ" (หย่งฝูอัน) มีป้ายชื่อลงปีรัชกาลเฉียนหลง แห่งสมัยราชวงศ์ชิง ตรงกับ พ.ศ. 2338 หรือในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1
ต่อมามีพระภิกษุชาวจีน ชื่อพระอาจารย์สกเห็ง เดินทางจาริกมาจากประเทศจีนถึงประเทศสยาม ราวก่อนปี พ.ศ. 2414 และพำนักอยู่ ณ สถานที่นี้ ท่านได้ปฏิสังขรณ์วิหารพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น "ย่งฮกยี่" (หย่งฝูซื่อ) มีป้ายจารึกไว้ว่าทำขึ้นในรัชกาลกวงซวี่ แห่งราชวงศ์ชิง ปีที่ 13 ตรงกับ พ.ศ. 2430 ตรงกับสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
เมื่อพระอาจารย์สกเห็งสร้างวัดแล้ว ก็แล้วกราบบังคมทูลขอพระราชทานนามวัดจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระราชทานนามวัดว่า "วัดบำเพ็ญจีนพรต" โดยปัจจุบันยังมีป้ายพระราชทานนามวัดประดิษฐานอยู่ด้านหน้าอุโบสถ และโปรดพระราชทานสมณศักดิ์ พระอาจารย์สกเห็งเป็นพระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปแรก
เมื่อเข้าไปในตึกที่สร้างคลุมวัด จะเห็นผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมตรงกลางเปิดโล่ง ในพื้นที๋โล่งนั้นคือวิหารพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หรือ "ย่งฮกอำ" (หย่งฝูอัน)
มาถึงตอนนี้ต้องอธิบายก่อนว่า คำว่า อำหรืออัน (An) แปลว่าสำนักสงฆ์หรือศาลประดิษฐานพระปฏิมาในพุทธศาสนา ส่วนคำว่า ยี่หรือซื่อ (Si) แปลว่าพระอารามที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
นี่คือจุดเด่นของวัดบำเพ็ญจีนพรตที่หาชมได้ยาก เพราะตัววัดเป็นตึกเก่าแบบตะวันตก สร้างล้อมวิหารจีนแบบศิลปะจีนภาคใต้ตามสกุลช่างจีนแต้จิ๋ว มีความงดงามแบบสถาปัตยกรรมจีนแต้จิ๋วในไทยยุคแรก จึงงามแบบคลาสสิก สีสันไม่ฉูดฉาดแต่กลมกลืน ลงรักปิดทองแต่ครั้งโบราณ สีทองจึงดูขลังแต่ยังมลังเมลืองสวยจับตามาก
กล่าวกันว่า เป็นวัดบำเพ็ญจีนพรตมีพุทธวิหารพระรัตนตรัยเล็กที่สุดคือ กว้าง 7.80 เมตร ยาว 10.20 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2338 คำว่า "วิหารพระรัตนตรัย" หมายถึงวิหารหลักของวัด ในภาษาจีนเรียกว่า ต้าสยงเป่าเตี้ยน ตามปกติแล้ววัดจีนไม่ได้มีอุโบสถทุกแห่ง แต่จะต้องมีวิหารพระรัตนตรัยทุกแห่งเป็นอาคารหลัก และจะต้องมีขนาดใหญ่โตมาก แต่ที่วัดนี้มีขนาดเล็ก เพราะเป็นอาคารดั้มเดิมมาตังแต่เป็นวิหารเดี่ยวๆ ยุครัชกาลที่ 1
แม้จะมีขนาดย่อม แต่มีสิ่งที่น่าชมมาก คือ พระประธานทั้ง 3 คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรงกลาง ทางขวาของพระศากยมุนีคือพระอมิตาภะพุทธเจ้า และทางซ้ายของพระศากยมุนีคือ พระไภษัชยะคุรุพุทธเจ้า เป็นพุทธเจ้าทั้ง 3 ตามคติมหายาน เป็นพุทธปฏิมาแบบจีนรุ่นเก่าสมัยราชวงศ์ชิงที่หาชมได้ยาก
ที่ด้านข้างของพระประธานคือพระอรหันต์ 18 องค์ ทำจากผ้าป่านทาบรักลงรักปิดทอง อาขารย์เศรษพงษ์ จงสงวน กล่าวว่า พระอาจารย์สกเห็ง สั่งสร้างจากประเทศจีนในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นศิลปะที่เรียกว่า ทัวไท (ถอดแบบ) หรือทัวซา (ถอดแบบหุ่นทราย) แต่มีชื่อทางการว่า เจี๋ยจูฝอเซี่ยง แปลว่า วิธีสร้างพระปิดทับผ้าป่าน
นอกจากวิหารหลักแล้ว ด้านข้างยังมีบันไดดีไซน์วินเทจ พาขึ้นไปบนชั้นอื่นๆ ของตึกแบบฝรั่ง บนชั้นต่างๆ นอกจากจะเป็นกุฏิพระแล้ว ยังมีโถงประดิษฐานพระโพธิสัตว์ ห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือเก่าๆ และห้องเก็บป้ายวิญญาณของพุทธศาสนานิกชนที่ล่วงลับ ชั้นบนสุดในห้องโถงบูชาพระ เป็นที่เก็บป้ายชื่อเก่าของวัด คือป้ายย่งฮกอำ นับเป็นของล้ำค่าอย่างหนึ่งทางประวัติศาสตร์
ความเงียบ อาคารเก่า และเงาที่อึมครึม เกิดบรรยากาศเหมือนกับบางฉากในเรื่องลี้ลับของเหม เวชกร ราวกับย้อนไปสู่ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ตรงกันข้ามกับความจอแจของเยาวราชที่ห่างไปไม่กี่เมตร
วัดบำเพ็ญจีนพรตไม่ใช่แค่สถานที่พักผ่อนทางจิตวิญญาณเท่านั้น แต่สำหรับคนที่อยากรู้จักกรุงเทพให้มากขึ้น ที่นี่คือประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตชีวามาตั้งแต่ยุคต้นกรุง


