กันต์รวี กิตยารักษ์ งานที่ดีต้องมีประโยชน์ต่อสังคม
สาวสวยร่างเล็กท่าทางแคล่วคล่องหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เธอจบทางด้านกฎหมาย เกียรตินิยมอันดับ 1 จากคณะนิติศาสตร์
เรื่อง อณุสรา ทองอุไร ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
สาวสวยร่างเล็กท่าทางแคล่วคล่องหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เธอจบทางด้านกฎหมาย เกียรตินิยมอันดับ 1 จากคณะนิติศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทด้านกฎหมาย จากประเทศอังกฤษ ถือว่าเป็นลูกไม้ที่หล่นใต้ต้นเพราะมีคุณพ่อซึ่งเป็นผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือทีไอเจ ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เธอจึงมีคุณพ่อเป็นไอดอลในเรื่องการทำงาน แม้ว่าในตอนแรกๆ นั้นเธอก็ไม่ได้ชอบทางด้านกฎหมายสักเท่าใดนัก
แอ๊ม-กันต์รวี กิตยารักษ์ เจ้าหน้าที่ประสานงานโครงการ ของทีไอเจ ซึ่งเธอทำงานด้วยความทุ่มเท ทำอะไรก็จะจริงจัง มีวินัย เต็มที่กับทุกสิ่งที่เลือกทำ มองโลกในแง่ดีเสมอและเชื่อว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ถ้าเราตั้งใจทำ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยนอกจากเรียนดีแล้วเธอยังมีกิจกรรมเด่นอีกด้วย ทั้งการเป็นลีดเดอร์ของคณะ ทำงานให้กับสมาคมนักเรียนกฎหมายแห่งเอเชีย ทำให้เธอสนใจเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศและทุกครั้งที่ปิดภาคเรียนเธอก็จะไปเรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศทุกปีทั้งนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อังกฤษ อเมริกา เพื่อเป็นการเรียนรู้โลกกว้างและสังคมที่แตกต่างไปจากเดิม
จนกระทั่งเรียนจบปริญญาโท เธอก็มาช่วยงานของสถาบันเพื่อการยุติธรรมได้พักใหญ่ โดยเธอมาร่วมในการรับผิดชอบโครงการสัมมนาเยาวชนไร้พรมแดน หรือ TIJ-UNODC Youth Forum 2019 ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของโลกที่ TIJ จับมือ UNODC พลิกโฉมการประชุมระดับสากล เป็นการสัมมนาเยาวชนไร้พรมแดนผ่านเครือข่ายออนไลน์ เพราะเยาวชนคือรากฐานของอนาคต จึงจำเป็นต้องปลูกฝังหลักนิติธรรมและแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนไว้ตั้งแต่วันนี้ โดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) และสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crimes - UNODC) จึงเชิญเยาวชนจาก 14 ประเทศทั่วเอเชียเข้าร่วม การสัมมนาเยาวชนไร้พรมแดน (Borderless Youth Forum) เมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
“วิธีการคือใช้เครื่องมือ Design Thinking ผสานเทคโนโลยี มุ่งปลูกฝังหลักนิติธรรมเพื่อการคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยเชื่อมั่นว่า เยาวชนคือความหวังที่จะนำพาสังคมไปสู่อนาคตที่ดี และเป็นผู้มีส่วนอย่างสำคัญในการเสริมสร้างหลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน เราจึงเชิญเยาวชนจากหลากหลายประเทศให้เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยแก้ปัญหาสังคมที่เกี่ยวข้องกับความยุติธรรม ผ่านกระบวนการคิดแบบนักออกแบบ เราก้าวข้ามขีดจำกัดของพรมแดนด้วยการนำเทคโนโลยีการสื่อสารมาเป็นเครื่องมือ เอื้ออำนวยให้เกิดการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่ยั่งยืน”
ในการสัมมนาที่ผ่านมา มีเยาวชน 162 คน จาก 14 ประเทศทั่วเอเชียได้ติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายออนไลน์ โดยใช้เทคโนโลยีการออกแบบข้ามพรมแดน (Design Across Border) ซึ่งพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญจาก Stanford d.school เป็นการผสานนวัตกรรมที่คิดแก้ปัญหาโดยให้กลุ่มเป้าหมายเป็นศูนย์กลาง เข้ากับการทำงานเป็นทีมแบบไร้พรมแดน
เยาวชนผู้เข้าร่วมการสัมมนาจากประเทศต่างๆ จะจับกลุ่มกันเพื่อร่วมอภิปรายและแลกเปลี่ยนวิธีการจัดการ 3 ปัญหาสำคัญ ได้แก่ การแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังและรับคนดีกลับสู่สังคม การยุติความรุนแรงทางเพศ และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสให้เข้าถึงความยุติธรรมในบริบทของแต่ละประเทศ ในการนี้ เยาวชนจะได้เจาะลึกประเด็นผ่านการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานด้านการยุติธรรมในประเทศของตนเอง เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดทางภาษา และเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งในประเด็นปัญหา
กันต์รวี ในฐานะที่ร่วมรับผิดชอบโครงการนี้ กล่าวว่า เด็กๆ ที่ได้เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีมากครั้งหนึ่งในชีวิต เขาจะได้ประชุมร่วมกับเพื่อนๆ จากหลากหลายประเทศที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันและแค่เพียงมองตาก็สัมผัสได้ว่าทุกคนใส่ใจกับปัญหาเหล่านี้จริงๆ ยิ่งได้พูดคุยกันพลังของเขาก็ส่งมาถึง ยิ่งทำให้เราสนใจในเรื่องนี้มากขึ้น นอกจากนี้ การสัมมนายังเปิดโอกาสให้ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญซึ่งไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะผ่านโลกออนไลน์หรือในสังคมรอบตัว
การได้สัมภาษณ์ผู้ที่มีประสบการณ์ตรง กับปัญหาความยุติธรรมที่เกิดขึ้น นอกจากจะส่งผลให้เยาวชนเข้าใจปัญหามากขึ้นแล้ว ยังเสริมสร้างพลังและแรงบันดาลใจในการมีส่วนร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาด้วย
เธอเล่าว่าผู้เข้าร่วมการสัมมนาที่สนใจด้านการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังและรับคนดีกลับสู่สังคม นี่จะเป็นครั้งแรกที่เยาวชนจะมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ที่เคยผ่านการตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมและกลับเข้าสู่สังคม อาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่การสัมมนาครั้งนี้จุดประกายให้อยากศึกษาประเด็นนี้ให้มากขึ้น และอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สังคมนี้ดีขึ้น และไม่มีขีดจำกัดใดสามารถหยุดยั้งการร่วมมือกันได้ เป็นความร่วมมือทั้งออฟไลน์และออนไลน์ แม้ไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน แต่ทุกคนก็ได้พูดคุยและเสนอแนวคิดเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน
“แนวคิดที่เยาวชนร่วมกันอภิปรายในการสัมมนาเยาวชนไร้พรมแดนในครั้งนี้ จะได้นำเสนอต่อสหประชาชาติในงาน Asia-Pacific Forum on Sustainable Development ครั้งที่ 6 ซึ่งจะจัดขึ้นโดย UNESCAP ในวันที่ 27-29 มี.ค.นี้ ผู้ที่สนใจข้อมูลเกี่ยวกับหลักนิติธรรมและการส่งเสริมความยุติธรรมทางอาญา สามารถติดตามกิจกรรมของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยเพิ่มเติมได้”
นอกจากนี้ เธอยังมีส่วนผลักดันในการร่วมสร้างโครงการข้อกำหนดกรุงเทพในการทำเรือนจำต้นแบบที่เรือนจำหลายแห่งทั้งในและต่างประเทศนำไปใช้เพื่อพัฒนาผู้ต้องขังหญิงให้มีคุณภาพในด้านต่างๆ ยิ่งขึ้น
สำหรับแผนการทำงานในอนาคตของเธอนั้น เธอบอกว่าก็ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องงานตรงนี้ทำให้เต็มที่และดีที่สุด เพราะเป็นงานที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคม เพราะอยากให้เป็นสังคมที่ดี ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน กฎหมายสามารถเข้าถึงทุกคนได้อย่างเท่าเทียม
หลักการทำงานของเธอนั้นคือ กล้าคิด แล้วลงมือทำ อย่ากลัวความล้มเหลว แต่ให้กลัวว่าไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่างมากกว่า “เราจะสร้างตัวเองว่ามีตัวตนอย่างไร คือการสร้างโอกาสที่ผ่านเข้ามาเพื่อเรียนรู้ แล้วก้าวต่อไปอย่างไร คือสร้างตัวเองแบบไหนเรียนรู้เพิ่มเติมให้เป็นคนมีคุณค่าให้ได้ ที่ผ่านมาก็มีความสุขกับการไปทำงานทุกวัน ตอนนี้ทำงานเกือบ 7 วัน/สัปดาห์ เพราะเป็นกิจกรรมที่เราชอบ เป็นงานที่สนุก ใช่ทางที่เราเลือกแล้ว สิ่งที่ชอบก็คือได้บอกเล่าเรื่องราวของเรา ว่างานที่ทำนั้นเป็นงานที่มีประโยชน์ต่อสังคมจริงๆ และเราจะไม่ลืมตัวตนของเรา” เธอกล่าวอย่างตั้งใจ


