ฟังเสียงเงียบไพเราะ เดินเลาะ ‘ภูซาง’
หากคิดว่าพะเยาเป็นจังหวัดเงียบๆ ช้าๆ แล้วล่ะก็
หากคิดว่าพะเยาเป็นจังหวัดเงียบๆ ช้าๆ แล้วล่ะก็ ลองออกจากตัวเมืองไปเงี่ยหูฟังเสียงในอำเภอ“ภูซาง” นอกจากจะได้ยินเสียงนก เสียงปลา อาจจะได้ยินเสียงท้องนาคุยกัน
ภูซางเป็นอำเภอเล็กๆ ห่างจากตัวเมืองพะเยาราว 100 กม. จะเรียกว่าเป็นชนบทห่างไกลคงไม่ได้ เพราะที่นี่มีร้านกาแฟ ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น โฮมสเตย์ และมีจุดท่องเที่ยวให้ไปเช็กอิน แต่บ้านเมืองนี้อยู่ในบรรยากาศที่เงียบกว่า ช้ากว่า ธรรมชาติกว่า และมีคนน้อยกว่า จึงพลอยคัดเลือกนักท่องเที่ยวที่มาให้มีจริตเรียบง่ายและเชื่องช้าตามไป
ต้องบรรยายบรรยากาศว่า เมืองภูซางเป็นเมืองเกษตรกรรม ชาวบ้านทำนา ปลูกผัก ปลูกยางพารา รวมไปถึงพื้นที่หน้าบ้านทุกหลังปลูกผักสวนครัวไว้เก็บกิน
ส่วนถนนหนทางเข้าถึงอย่างดี แต่ยวดยานที่มีเห็นแต่จักรยาน และวิวสองข้างทางมีความงดงาม โดยเฉพาะยามพระอาทิตย์ขึ้นหลังภูเขา แล้วมีฉากหน้าเป็นพระธาตุภูซางและทุ่งนา ยิ่งทำให้ประทับใจและกลายเป็นภาพจำเมื่อนึกถึง
คนที่มา แค่เห็นภาพเหล่านี้ก็ทำให้มีความสุขจนรู้สึกอิจฉาคนอยู่ อย่าง “ต๋อย” นิคม วงศ์ใหญ่ เจ้าของสวนมีสุข ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความสุขในสวนเกษตรปลอดสารของครอบครัวให้ฟังว่า เขาและภรรยาเริ่มทำสวนผักเมื่อ 4 ปีก่อน เริ่มต้นจากการเช่าที่นาคนอื่นทำเกษตรเชิงเดี่ยว จากนั้นก็เริ่มขยับขยายหาซื้อที่ดินของตัวเองจนมีที่ดินขนาด 3 ไร่กว่า และเริ่มลงมือปลูกพืชผสมผสานแบบปลอดสารพิษ
“ผมเคยถูกคัดค้านไม่ให้ปลูกผัก เพราะพื้นที่รอบๆ ทำนากันหมดและยังไม่มีใครปลูกผักขายเป็นตัวอย่าง รวมถึงแม่ของผมเองที่อยากให้ทำนา ผมเลยเลือกทำนาและเหลือพื้นที่ 1 งานไว้ปลูกผักขายอย่างที่ตั้งใจ
พอเกี่ยวข้าวได้ผมทำบัญชีหักลบแล้วปรากฏว่า รายได้จากการทำนาเหลืออยู่ 3,000กว่าบาท แต่ผักที่ผมปลูกไว้มีกะหล่ำปลี มะเขือ กวางตุ้ง ภายในระยะเวลา 4 เดือนเท่าปลูกข้าว ผมเก็บผักได้ 3 ครั้งรวมแล้วได้เงิน 3 หมื่นกว่าบาท หลังจากนั้นแม่บอกผมว่า อยากทำอะไร ทำตามใจเลย”
หลังจากพิสูจน์ให้เห็นแล้ว ต๋อยมาคิดต่อว่า ในพื้นที่จำกัดเพียงเท่านี้จะปลูกพืชอย่างไรให้สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี เขาจึงเริ่มปลูกโหระพาบนคันกั้นน้ำเพราะสามารถเก็บผลผลิตได้นาน 2 ปี
รวมถึงผักกูด ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี กวางตุ้ง ฝรั่ง มะเขือเทศ ผักสลัด เพาะลูกกบขาย โดยเขาไม่ต้องไปขายที่ไหน เพราะจะมีพ่อค้าและลูกค้ามาซื้อถึงหน้าสวน
“พอเราทำได้แบบนี้ทำให้มีคนที่สนใจเข้ามาสอบถาม ตอนนี้ผมเลยกำลังสร้างบ้านพักเล็กๆ ริมสวนผัก 2 หลังให้คนที่เข้ามาเรียนรู้อยู่ที่นี่เลย ซึ่งผมยินดีสอนทุกอย่างที่ผมรู้ เพราะอยากให้เขานำไปทำเป็นอาชีพ และมีความสุขกับสิ่งที่อยากทำ ส่วนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาดูผมก็ยินดีต้อนรับและอยากให้ความรู้เล็กๆ น้อยๆ กับพวกเขาไปด้วย”
ตอนนี้ต๋อยและภรรยาไม่จำเป็นต้องออกไปซื้ออาหารจากที่ไหน เพราะมีตลาดส่วนตัวอยู่ในบ้าน ซึ่งนอกจากผัก ผลไม้ เขายังเลี้ยงไก่เก็บไข่ เลี้ยงปลา มีปูนา ซึ่งทุกอย่างมั่นใจได้ว่าปลอดภัย ดีต่อสุขภาพร่างกาย ทำให้วันนี้ทั้งคู่มีอาชีพ มีอาหารที่ดี มีสุขภาพดี และมีความสุขดี สมกับชื่อสวนมีสุข ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากเจ้าของสวนจะมีความสุข คนมาเยือนก็มีความสุขตามไปด้วย
อีกบ้านหนึ่งที่มีความสุขไม่แพ้กันคือบ้านของ “ลุงทา” ศิวกร ผาแก้ว เจ้าของบ้านหมุนหลังเดียวในพะเยา ลุงทา เล่าว่า เขาเกิดที่ภูซางแต่ไปทำงานอยู่เชียงใหม่ หลังเกษียณจึงกลับบ้านเกิดแล้วอยากมีบ้านสักหลังไว้อยู่ยามชรา จึงหาแบบสร้างบ้านจนได้ไปเจอรูปแบบบ้านหมุนที่ลุงทาเห็นว่าเข้าท่าดี
“ผมตัดสินใจสร้างบ้านหมุนเพื่อตอบสนองตัวเอง 3 ข้อ ข้อแรกคือ เวลาเราอยากหันหน้าบ้านไปทางไหน เราแค่กดรีโมท
ข้อสองคือ เนื่องจากบ้านนี้เป็นบ้านประหยัดพลังงาน เวลาเรานอนถ้าเปิดหน้าต่างแล้วลมไม่เข้า มันร้อน เราก็กดรีโมทหาทิศทางลม ทำให้ไม่ต้องติดแอร์ก็นอนสบาย
และข้อสาม บ้านหลังนี้มีแกนกลางเป็นเซ็นเตอร์และมีล้อเป็นตัวรับน้ำหนัก เปรียบได้กับรถยนต์หนึ่งคัน ดังนั้นถ้าแผ่นดินไหวล้อจะขยับตามแรงสั่นทำให้ป้องกันการพังทลายจากแผ่นดินไหวได้”
บ้านหมุนหลังนี้เป็นบ้าน 2 ชั้น ประกอบด้วยห้องนั่งเล่นอยู่ชั้นล่าง และห้องนอน 2 ห้องอยู่ชั้นบน ส่วนห้องน้ำสร้างแยกต่างหากจากตัวบ้าน ทุนสร้างอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท ปัจจุบันตอนกลางวันเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้คนเข้าชม
พอตกกลางคืนลุงทาก็ขึ้นห้องนอนเปิดหน้าต่างกดรีโมทหันไปดูพระจันทร์อย่างมีความสุข หรือใครอยากลองมาพัก ห้องนอนอีกห้องลุงทาเปิดเป็นโฮมสเตย์ หรือถ้ามาเป็นกลุ่มเพื่อนก็ยินดีให้ปูฟูกนอนเรียงกันที่ชั้นล่าง (โทร. 08-1961-4996)
นอกจากความสุขจากผู้คน ภูซางยังมีความสุขอีกแห่งปรากฏอยู่ที่ น้ำตกภูซาง สระว่ายน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งแม้ว่าสายน้ำตกจะไม่ใหญ่โตและไหลแรงอลังการ แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะเพราะเป็นน้ำตกน้ำอุ่น
ตามข้อมูลระบุว่า สายน้ำของน้ำตกภูซางเดินทางลัดเลาะมาตามลำน้ำฮวก ไหลผ่านบ่อน้ำร้อนที่เรียกว่า บ่อซับน้ำอุ่น จากนั้นได้ไหลลงสู่หน้าผาหินปูนความสูง 15 เมตร กลายเป็นน้ำตกอุ่นที่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียสตลอดปี
ระหว่างเส้นทาง สายน้ำอุ่นได้ผ่านป่าที่มีน้ำขังตลอดปี มีซากพืชสลายทับถมกันแน่นหลายชั้น ทำให้พืชหลายชนิดสามารถปรับตัวขึ้นได้ เช่น ต้นคล้า คลุ้ม เตยเหาะ ลำเท็ง แข็งไก่ กรวย และทองหลางป่า รวมเรียกว่า ป่าพรุ ทั้งยังไหลผ่านป่าดงดิบแล้งที่สมบูรณ์ไปด้วยไม้ผลัดใบและไม้ไม่ผลัดใบขนาดใหญ่ กลายเป็นป่าต้นน้ำที่รักษาต้นลำธารของน้ำตกไว้อีกทอด
ถ้าสัมผัสน้ำในแอ่งด้านล่างจะไม่รู้สึกอุ่น ต้องเดินขึ้นบันไดผ่านป่าไปยังต้นลำธารแอ่งน้ำด้านบนจะสัมผัสได้ถึงความอุ่นน่าพิศวงของธรรมชาติ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รวมถึงคนพะเยาเองจะรู้จักภูซางเพราะน้ำตกอุ่นแห่งนี้ แต่น่าเสียดายที่เวลามาจะปักหมุดมาเที่ยวน้ำตกเพียงอย่างเดียว ทำให้เสียโอกาสไปรับความสุขจากอีกสองบ้านที่กล่าวมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เมืองภูซางเพิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวจำนวนอย่างน้อย 300 คนจากการจัดกิจกรรม เที่ยวไป วิ่งไป ไลค์ อะ โลคัล งานวิ่งที่เปิดรับสมัครนักวิ่งทุกรูปแบบมาเที่ยวไปพร้อมๆ กัน
มีคอนเซ็ปต์น่ารักคือ แทนที่จะวิ่งทำเวลาให้เร็วที่สุด ก็เปลี่ยนมาวิ่งโดยให้ใช้เวลาดื่มด่ำให้มากที่สุด บนระยะทาง 11 กม. ผ่านสวนมีสุข บ้านหมุนลุงทา และไปสิ้นสุดที่น้ำตกภูซาง โดยช่วงเย็นนักวิ่งทั้งหมดได้ไปรวมตัวกันที่เฮินไทลื้อเพื่อร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ
เฮินไทลื้อเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจัดแสดงวิถีชีวิตและบ้านดั้งเดิมของชาวไทยลื้อ ใต้ถุนบ้านมีกี่ทอผ้าตั้งเรียงรายไว้เป็นที่สาธิตการทอผ้าและเป็นแหล่งรวมตัวของกลุ่มแม่บ้านในภูซาง
กิจกรรมช่วงบายศรีดำเนินการทั้งหมดโดยชาวบ้าน เย็นวันนั้น ปู่ย่าตายายหลายสิบคนปั่นจักรยาน บ้างก็เดินมาจากบ้าน เพื่อตั้งใจมาผูกข้อมือให้ลูกหลานที่มาเยี่ยมเยือน กลุ่มแม่บ้านกำลังสาละวนทำอาหารเตรียมขึ้นโตกให้นักท่องเที่ยวได้กิน
ส่วนกลุ่มผู้สาววัยรุ่นกำลังผัดหน้าทาปากเตรียมการแสดงรำบนเวที พอเห็นอะไรที่ทำจากใจไม่ปรุงแต่งเช่นนี้ ล้วนสร้างความสุขและความประทับใจได้โดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง
ระหว่างดูการแสดง มีเรื่องตลกในวงขันโตกว่า หลายคนคุ้นชื่อ ภูซาง แต่คิดไม่ออกว่าอยู่จังหวัดอะไร พูดไปพูดมาสรุปได้ว่า ที่คุ้นหูคือชื่อ ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ส่วนชื่อภูซาง ประเทศไทย ไม่เคยแม้แต่ได้ยิน
แต่หลังจากได้วิ่ง 11 กม. เริ่มสตาร์ท6 โมงเช้า เข้าเส้นชัยเกือบบ่าย 2 ไปแล้ว เชื่อว่า ชื่อภูซางจะถูกพูดต่อๆ กันไป และไม่เฉพาะแค่วงการนักวิ่ง แต่จะขจรไปถึงนักปั่นและนักท่องเที่ยวที่ต้องการหลีกหนีความเร่งรีบทุกอย่าง มาใช้เวลาให้ช้าที่สุดที่นี่
พะเยาเป็นเมืองรองที่มีเสน่ห์ไม่เป็นสองรองใคร ไม่มีสนามบินแต่สามารถเดินทางเชื่อมโยงจากสนามบินเชียงรายสู่พะเยาได้ โดยใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 2 ชั่วโมง
จังหวัดที่นอกจากจะมีกว๊านพะเยาที่โด่งดัง และมีผู้ว่าราชการจังหวัดชื่อดัง ยังมีภูซางที่ต้องสารภาพตามตรงว่า ไม่อยากให้ดัง เพราะเมื่อเสียงดังเมื่อไรก็เท่ากับว่าวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวภูซางหายไป
ที่นี่จึงมีความเงียบและความช้าเป็นจุดขาย การันตีได้ว่ามาแล้วจะใจเย็นไปโดยปริยาย และจะได้รับความสุขกลับไปเป็นกอง


