จวงจื่อ - เสรีนิยมฉบับจีนโบราณ
โดย: นิธิพันธ์ วิประวิทย์
โดย: นิธิพันธ์ วิประวิทย์
หากจะพูดถึงเต๋า คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงจวงจื่อ
ในทางวิชาการจวงจื่อ คือ ผู้พัฒนาปรัชญาเต๋าต่อจากเหลาจื่อ (เล่าจื้อ, 老子) แต่สำหรับคนที่ศึกษาเต๋าแบบลำลอง เขาคือนักเล่านิทานที่คมคาย
คัมภีร์ของจวงจื่อ อ่านเพลินๆ ก็ได้ อ่านลึกซึ้งก็ดี
ขณะที่คัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง (เต้าเต๋อจิง, 道德经) ของเหลาจื่อเต็มไปด้วยวลีปรัชญาเด็ดๆ คัมภีร์เต๋าแบบจวงจื่อกลับเต็มไปด้วยนิทานเหนือจินตนาการที่เต็มไปด้วยการเปรียบเปรย หรือไม่ก็บทสนทนาจากบรรดาสรรพสัตว์
จวงจื่อนิยมวิถีการอยู่อย่างมีอิสรเสรี เขายอมเป็น “เต่าที่สะบัดหางเล่นในโคลนตม ดีกว่ากลายเป็นกระดองเต่าปิดทองที่คนบูชา”
นอกจากนี้ เขายังเน้นถึงการอยู่และเห็นตามธรรมชาติที่เป็นจริง สำหรับจวงจื่อ “วัวและม้ามีสี่เท้าคือธรรมชาติ ส่วนการเอาตะพายมาสน บังเหียนมาใส่ คือสิ่งที่มนุษย์ประดิดประดอย”
หากจะหาคำจำกัดความแนวคิดแบบจวงจื่อที่คนยุคใหม่เข้าใจได้ง่าย หนึ่งในคำนั้น ก็คือ “เสรีนิยม” (Liberalism)
แต่ลำพังแค่ประกาศว่าตนเองรักอิสรเสรี จะทำให้จวงจื่อกลายเป็นต้นเค้าเสรีนิยมเมื่อกว่าสองพันปีมาแล้วได้จริงหรือ?...
ในบทแรกของคัมภีร์จวงจื่อเปิดตัวด้วยบทที่ชื่อว่า “อิสระจร” (逍遥游) นิทานบทนี้เป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญของจวงจื่อที่โด่งดัง
ตัวคำว่า “อิสระจร” (逍遥游) ถ้าถอดความจากอักษรจีน ก็หมายถึงการท่องไปในชีวิตอย่างมีอิสระตามธรรมชาติ
ตัวนิทานเล่าถึงสัตว์ขนาดมหึมาที่กลายร่างจากปลามาเป็นนก ความว่า...
ทางเหนือมีปลาตัวหนึ่งอาศัยในทะเลลึก มีชื่อว่าคุน (鲲) ขนาดของคุนยิ่งใหญ่มากจนบอกไม่ถูกว่ายาวกี่พันลี้ และมันได้กลายร่างเป็นนกยักษ์ที่ชื่อว่าเผิง (鹏) แน่นอนว่าลำตัวของเจ้านกเผิงก็ยาวมิรู้กี่พันลี้ ปีกที่สยายออกของมันดุจดังทิวเมฆแนวใหญ่บนท้องฟ้า
เมื่อถึงฤดูกาลที่ลมสัมผัสผิวน้ำทะเลเหนือ มันจะออกอพยพไปสู่ทะเลใต้
เมื่อมันบินทะยานขึ้น ปีกที่ตีลงบนผิวน้ำทะเลก่อให้เกิดคลื่นน้ำสูงถึง 3,000 ลี้ ส่วนแรงลมใต้ปีกของมัน ก็หมุนวนขึ้นกลางอากาศสูงถึง 9 หมื่นลี้ เช่นกัน
มันใช้เวลาบินอพยพจากทะเลทางเหนือสู่ทะเลทางใต้ทั้งหมด 6 เดือนเต็ม
นี่ไม่ใช่ฉากในหนังเทพนิยายระดับโลก แต่เป็นสัตว์อลังการในนิทานที่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของมันทำอะไรเล็กๆ ไม่เป็น
ขณะนั้นเอง นกกระจิบกระจอกเอย หรือจักจั่นเอย ที่อาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ ต่างชี้ชวนกันดูเจ้านกยักษ์บินผ่านไปแล้วนินทาแกมเยาะเย้ยว่า
“ดูซิดู เจ้านกยักษ์เล่นใหญ่เสียจริง ดูอย่างพวกเรานี่สิ คิดจะบินเดี๋ยวเดียวก็บินถึงยอดไม้ ถ้าเหนื่อยนักก็แค่ลงมาแวะพักที่พื้นดินหาหนอนตัวเล็กตัวน้อยกิน ใช้ชีวิตชิลๆ จะบินไปไกลถึงทะเลใต้ให้เหนื่อยยากลำบากลำบนไปทำไม...” แล้วก็หัวเราะร่วนกันในหมู่นกน้อยและแมลง
แล้วจบด้วยประโยคที่ว่า
“นี่แล คือข้อถกเถียงเปรียบเปรยกันระหว่างสิ่งใหญ่และสิ่งเล็ก”
แม้นิทานเรื่องนี้ไม่มีบทพูดของเจ้านกยักษ์ และมีแต่น้ำเสียงประชดประชันของพวกนกเล็ก แต่ฝั่งที่ถูกยิ้มเยาะจริงๆ กลับจะเป็นพวกนกเล็กๆ เสียมากกว่า
แต่คำถามต่อไป ก็คือ พวกมันสมควรถูกยิ้มเยาะเพราะว่ามันเป็นเพียงสัตว์เล็กๆ ไม่อาจกระทำสิ่งยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับนกยักษ์ที่บินไกลกว่า ยิ่งใหญ่กว่าใช่หรือไม่…
ถ้าตีความแบบนี้ถือว่าเข้าใจจวงจื่อผิดไป สำหรับจวงจื่อเขาไม่เคยยิ้มเยาะให้กับความเล็ก หรือความอ่อนแอ
ถ้าจะพูดให้ชัดขึ้นอีก คือ จวงจื่อไม่เคยแบ่งแยกความเล็กหรือความใหญ่ เข้มแข็งหรืออ่อนแอ ว่าฝั่งใดจะสำคัญหรือดีงามมากน้อยไปกว่ากัน
จวงจื่อว่า “เป็ดขาสั้น นกกระยางขายาว หากถูกสลับขากัน มันล้วนมีความทุกข์ทั้งคู่” จะสั้นยาว เล็กใหญ่ อายุยืนหรือตายไว หากเป็นไปตามครรลองธรรมชาติ ก็ล้วนมีคุณค่าของมัน เป็นความไร้ระเบียบที่มีชีวิตชีวาของแต่ละสิ่งไป
เขาเห็นว่า ทุกสิ่งล้วนเท่าเทียม ไม่มีใครสูงส่งหรือสูงศักดิ์กว่าใคร ความแตกต่างเช่นนี้ย่อมไม่มีใครจะมีสิทธิหัวเราะเยาะใครได้สักคน
ฉะนั้น จึงไม่มีใครควรใช้ความยิ่งใหญ่มาหัวเราะเยาะความเล็ก ความสูงไปยิ้มเยาะความเตี้ยต่ำ ในทางกลับกัน สิ่งที่เล็กก็ไม่สามารถเยาะเย้ยสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน
การยิ้มเยาะในนิทานบทอิสระจร จึงมิได้ยิ้มเยาะต่อธรรมชาติของนกน้อยที่ความสามารถไม่ถึง แต่กลับหัวเราะต่อความคิดที่นกน้อยคิดไปเองว่า ความสุขสบายเล็กๆ ของตน เป็นสิ่งที่ผู้อื่นควรจะต้องเลียนแบบ โดยไม่ได้เห็นถึงธรรมชาติที่ต่างกัน
จวงจื่อยิ้มเยาะต่อคำนินทาที่เกิดจากการละเลยข้อเท็จจริงที่ว่าธรรมชาติและความจริงล้วนแตกต่าง และมีหนทางของตนเอง
นั่นก็คือ รูปแบบการใช้ชีวิตใดๆ ก็ไม่ควรหัวเราะเยาะการใช้ชีวิตแบบอื่นที่ไม่เหมือนกันกับตน เพราะทุกตัวตนย่อมมีธรรมชาติและความจริงเป็นของตนเอง ความเป็นจริงของสิ่งหนึ่ง ก็ไม่สามารถเอาไปเยาะเย้ยความเป็นจริงของอีกสิ่งได้
โดยอยู่ในเงื่อนไขที่ว่า การใช้ชีวิตที่แตกต่างกันนั้นๆ เป็นไปอย่างอิสระ และเป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ เอง (จวงจื่อจึงเลือกใช้พฤติกรรมตามธรรมชาติของนกยักษ์มาบรรยาย โดยพฤติกรรมที่จินตนาการขึ้นมามิได้เกิดจากการประดิดประดอยความพากเพียรฝืนธรรมชาติ แต่เพราะธรรมชาติของมันเป็นเช่นนั้น)
นี่คือความใจกว้างต่อความแตกต่าง ซึ่งมาจากการเห็นความเท่าเทียมกันเบื้องหลังความแตกต่างทั้งปวง
เห็นว่าไม่ว่าเล็ก ใหญ่ เตี้ย สูง อ้วน ผอม สวย อัปลักษณ์ ฉลาดหรือโง่ ในชีวิตของมันล้วนมีความเท่าเทียมกันแฝงอยู่
และไม่ใช่แค่รูปร่างทางกายภาพเท่านั้น แม้แต่อิสระของคนคนหนึ่งก็แตกต่างกับอิสระของอีกคนได้ จึงไม่สามารถนำอิสระของตนไปเยาะเย้ยอิสระของอีกคน
อย่างที่รู้กันว่าหลักการที่สำคัญของเสรีนิยม (Liberalism) ยุคนี้ นอกจากหลักของความอิสระในปัจเจกชน ก็คือ การอดทนต่อความแตกต่าง (Tolerance of Diversity) รอบตัว
นี่เองเป็นอีกสิ่งที่คล้ายแนวคิดจวงจื่อ อาจจะต่างกันบ้างก็ตรงที่ดีกรีของจวงจื่ออ่อนโยนกว่า จนสามารถใช้คำว่า “ใจกว้าง” แทนที่คำว่า “อดทน”...ต่อความแตกต่าง
ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะสังคมยุคนั้น ปัญหาของความต่างยังไม่ฝังลึกเข้มข้นแบบยุคนี้ จวงจื่อไม่ใช่คนยุคนี้ การฝืนอธิบายเสรีนิยมแบบจวงจื่อว่าเหมือนเสรีนิยมแบบยุคนี้เป๊ะๆ จึงเป็นเรื่องประดิดประดอยและไม่เป็นไปตามธรรมชาติของความจริง และแนวคิดจวงจื่อย่อมไม่เหมือนเสรีนิยมยุคนี้เป๊ะๆ แน่นอนเช่นกัน
แต่แค่จวงจื่อได้เริ่มต้นแนวคิดนี้ไว้เมื่อกว่าสองพันปีที่แล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นแนวคิดที่ก้าวหน้าและมีคุณค่าอย่างยิ่ง แถมจวงจื่อไม่ได้แค่สนับสนุนความใจกว้างในความแตกต่างอย่างลอยๆ แต่ยังอยู่ในเงื่อนไขที่ต้องมีความอิสระ และเป็นไปตามธรรมชาติที่เป็นจริง
จึงถือได้ว่า จวงจื่อคือต้นเค้าของแนวคิดแบบเสรีนิยม (Liberalism) แบบจีนจากยุคกว่าสองพันปีที่แล้วอย่างเต็มตัว


