posttoday

อดีตในรอยจำ มิติใหม่อนุรักษ์เอกลักษณ์เก่า กรณีศึกษา ‘ดุสิตธานี’ สู่ความร่วมสมัย

22 ธันวาคม 2561

สถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงการตกแต่งภายใน ซึ่งเคยรุ่งโรจน์โดดเด่นเป็นหลักหมายที่สำคัญของเมือง

เรื่อง : พรเทพ เฮง

สถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงการตกแต่งภายใน ซึ่งเคยรุ่งโรจน์โดดเด่นเป็นหลักหมายที่สำคัญของเมือง เคยสูงที่สุด เคยทันสมัยที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งศตวรรษ หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป ความทันสมัยกลายเป็นความเชย และต่อมาก็มาสู่ความเป็นเรโทรหรือรำลึกอดีต ก่อนที่จะกลายเป็นของเก่าทรงคุณค่าขึ้นหิ้งคลาสสิก

ก่อนที่จะเหลือเพียงภาพถ่ายและซากของอดีต มีโครงการหนึ่งซึ่งเป็นความร่วมมือในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและความทรงจำร่วมสมัยที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก และถือว่าเป็นระบบตามระเบียบวิธีการวิจัยและหลักวิชาการมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย

นั่นคือ โครงการบันทึกการเปลี่ยนผ่านหน้าประวัติศาสตร์ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ (Preserving Dusit Thani Bangkok’s Artistic Heritage)

ความร่วมมือครั้งแรกที่สถาบันการศึกษาภาครัฐและองค์กรธุรกิจเอกชนร่วมมือกันในการศึกษา วิจัย อนุรักษ์ และเก็บบันทึกเรื่องราวความโดดเด่นในทุกมิติ ลงในสื่อผสมหลากหลายทั้งงานภาพจิตรกรรม หนังสั้น และบันทึกลงในมัลติมีเดียแอพพลิเคชั่น เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา

โรงแรมห้าดาวของคนไทยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว และกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญ (Landmark) ของกรุงเทพมหานครที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก อาคารอันเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัย ด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น มีอัตลักษณ์ในแบบเฉพาะตัว มีคุณค่าทางจิตใจและประวัติศาสตร์ เพราะอดีตคือแรงบันดาลใจ
สู่อนาคตที่ยั่งยืน

อดีตในรอยจำ มิติใหม่อนุรักษ์เอกลักษณ์เก่า กรณีศึกษา ‘ดุสิตธานี’ สู่ความร่วมสมัย

หนึ่งในเอกลักษณ์ของดุสิตธานีนั่นคือ ห้องอาหาร “เบญจรงค์” เป็นห้องอาหารที่มีเรื่องราวมากมาย โดยเฉพาะภาพศิลป์อันทรงคุณค่าของ ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือที่คนในวงการศิลปะเรียก “ท่านกูฏ” ศิษย์รุ่นแรกของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อปี 2487 เป็นนักศึกษารุ่นที่ 2 ของคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์

ท่านกูฏ เป็นผู้บุกเบิกจิตรกรรมฝาผนังไทยยุคใหม่ ซึ่งต่างไปจากช่างเขียนในอดีต ที่มักจะสืบทอดฝีมือกันจากรุ่นสู่รุ่น แต่ท่านกูฏได้รับการศึกษาศิลปะมาในระบบ ที่คณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร ภายหลังหันมาสนใจงานจิตรกรรมไทยประเพณี จึงได้เกิดการสร้างสรรค์ภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดตามขนบนิยมแบบดั้งเดิม ผสมผสานกับเทคนิคและมุมมองแบบศิลปะสมัยใหม่ หรือแม้แต่สร้างงานในลักษณะไทยประเพณีบนพื้นที่ใหม่ อย่างงานตกแต่งผนังอาคารสถานที่ เช่น โรงแรม หรือสำนักงาน ซึ่งถือว่าแปลกใหม่มากในยุคนั้น

เพราะฉะนั้นโครงการนี้จะเป็นการอนุรักษ์ที่เป็นต้นแบบหรือแม่แบบให้กับสถาปัตยกรรมและสิ่งตกแต่งภายในเก่าแก่ที่ทรงคุณค่าต่อไปของไทยในอนาคต

มองจากมุมอดีต ถึงปัจจุบันของดุสิตธานี

การหลอมรวมระหว่างการเป็นโรงแรมที่มีรากฐานที่แข็งแกร่ง มีประวัติศาสตร์และมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ยังคงบุคลิกความเป็นไทยร่วมสมัย

ชนินทธ์ โทณวณิก รองประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ดุสิตธานี บอกถึงการทำงานอนุรักษ์ในครั้งนี้ว่า เขารู้ตั้งแต่จำความได้ว่า ต้องอยู่ที่นี่ เติบโตที่นี่ และทำงานที่นี่

“ทำอย่างไรให้โรงแรมใหม่มีบุคลิกของโรงแรมเก่ามากที่สุด โดยเฉพาะในส่วนที่ดี อะไรที่เก็บไว้ได้ก็เก็บ ความเป็นไทยหรือเอกลักษณ์ไทย ในอนาคตจะมีความหมาย เพราะจุดขายคือความเป็นไทย”

ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพื่ออนุรักษ์สิ่งเก่าและจิตวิญญาณเดิมไว้ให้มากที่สุด ชนินทธ์ มองถึงจุดนี้ว่า

“เห็นทุกอย่างที่นี่และลืมไปว่าสำคัญ จากความเคยชิน ต้องให้คนนอกผู้เชี่ยวชาญมาดู ห้องอาหารเบญจรงค์ใช้เงินลงทุนมากที่สุดในยุคนั้น สำคัญที่สุดในแง่การตกแต่ง ร้านอาหารที่ดีที่สุดคือร้านอาหารไทย คุณแม่ (ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย) ยืนยันให้ใช้ชื่อไทย และเป็นที่ซึ่งเปลี่ยนน้อยที่สุดในรอบ 48-49 ปีที่ผ่านมา”

โครงการนี้ทำงานกันมาเกือบ 5 ปีแล้ว ค้นหาว่าหัวใจของดุสิตธานีอยู่ตรงไหน ความทรงจำกับความสำเร็จ ชนินทธ์ บอกว่า ที่นี่เป็นโรงแรมคนไทย ชื่อไทย บริหารแบบไทย มีความเป็นไทยในเอกลักษณ์ไทย

“ความต้องการของลูกค้าสมัยก่อนกับปัจจุบันแตกต่างกันมาก คนกรุงเทพฯ และนักท่องเที่ยวต่างประเทศคงเห็นความสำคัญของโรงแรมในแง่ความสำคัญของประวัติศาสตร์ร่วมสมัย โรงแรมใหม่เกิดมาต้องมีบุคลิกและความสำคัญเหมือนเมื่อเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา ดังที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์เคยทำไว้ ดุสิตธานีจะเป็นตัวแทนของประเทศในภาพลักษณ์โรงแรมของประเทศไทย คนจะมีความผูกพันดังเก่าเหมือนกับตอนที่เปิดใหม่ๆ เราจะเก็บพนักงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำทุกอย่างให้เป็นความต่อเนื่อง”

อดีตในรอยจำ มิติใหม่อนุรักษ์เอกลักษณ์เก่า กรณีศึกษา ‘ดุสิตธานี’ สู่ความร่วมสมัย

ชนินทธ์ มั่นใจว่าโครงการบันทึกการเปลี่ยนผ่านหน้าประวัติศาสตร์ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ในอนาคตจะเป็นสิ่งที่ประเมินค่าจนหามิได้ว่า เป็นโมเดลในการให้คุณค่าและความสำคัญกับการอนุรักษ์ รักษาของเก่าในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักในคุณค่า

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี เสริมว่า รู้สึกเป็นเกียรติมากที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเก่าแก่และมีความโดดเด่นในด้านศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และเผยแพร่มรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมทุกแขนง ให้ความสนใจร่วมมือในการเก็บบันทึกเรื่องราวของโรงแรมดุสิตธานี
กรุงเทพฯ ในช่วงเปลี่ยนผ่านให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา และอนุรักษ์ความทรงจำที่เปี่ยมความหมายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

“เราได้เก็บข้อมูลเชิงวิจัยกับสิ่งที่ควรอนุรักษ์ไว้ มหาวิทยาลัยศิลปากรมีบุคลากรที่มีฝีมือเยอะมาก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สถาบันการศึกษาทางศิลปะชั้นนำของประเทศได้ออกมาทำงานร่วมกันกับเอกชน ซึ่งจะเก็บรักษาสิ่งที่สวยงามของดุสิตธานีไว้ อนุรักษ์ความเป็นไทย นับเป็นสิ่งที่ท้าทายของทีมงานเก็บข้อมูลและทำงานวิจัยในครั้งนี้

เรียนรู้จากสิ่งที่เกิด ดุสิตธานีเป็นหน้าตาของอดีตในประเทศไทย เก็บเอกลักษณ์ทุกอย่างที่ดีและมีคุณค่าเอาไว้ ซึ่งใช้เวลานานมากในการออกแบบและนำทีมที่มีความเชี่ยวชาญทางศิลปวัฒนธรรมมาแกะรอยหาจิตวิญญาณและเอกลักษณ์ของดุสิตธานีอย่างเหมาะสมและลงตัว”

ขั้นตอนการทำงาน ศุภจี เล่าว่า เริ่มจากห้องเบญจรงค์ที่มีภาพเขียนบนเสาและฝาผนังของท่านกูฏ หรือไพบูลย์ สุวรรณกูฏ ศิลปินชั้นเยี่ยมของไทย ซึ่งมีคุณค่ามาก

“อ.อมฤต (อมฤต ชูสุวรรณ อดีตคณบดีคณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร) มาช่วยดูงานของท่านกูฏ บอกว่ามีคุณค่ามาก ควรอนุรักษ์และเก็บรักษาไว้ที่โรงแรมใหม่ ซึ่งต้องคิดคำนวณการย้ายเสาต้นละ 5 ตัน ส่วนคณะโบราณคดีก็ทำวิจัยและบันทึกทางประวัติศาสตร์ ศิลปะร่วมสมัย งานไม้สักทองแกะบนฝ้าเพดาน เสาเพนต์ลายไทย และภาพจิตรกรรมที่ห้องอาหารเบญจรงค์ต้องนำมาประกอบใหม่ที่ห้องอาหารเบญจรงค์ใหม่ที่จะสร้างขนาดเดียวกัน”

นอกจากนี้ ศุภจี บอกว่าจะมีแกลเลอรี่เพื่อโชว์โมเดลโรงแรมเก่า บุคลิกเอกลักษณ์ต่างๆ จะถูกเก็บไว้ อย่างส่วนยอดโรงแรมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ก็จะถูกเก็บไว้

“โรงแรมเก่าไม่ได้ไปไหน จิตวิญญาณดุสิตธานีก็ยังคงอยู่ในรูปแบบดุสิตธานี เลเจนด์”

บันทึกการเปลี่ยนผ่านหน้าประวัติศาสตร์ หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญอดีตของกรุงเทพฯ

สำหรับบทบาทของมหาวิทยาลัยศิลปากรในโครงการนี้ เน้นที่การนำความรู้ความชำนาญของเหล่าคณาจารย์จากภาควิชาต่างๆ ทั้งคณะโบราณคดี คณะสถาปัตยกรรม คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และความร่วมมือของคณะวิชาต่างๆ มาบูรณาการร่วมกันในการเก็บบันทึกข้อมูลในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

อดีตในรอยจำ มิติใหม่อนุรักษ์เอกลักษณ์เก่า กรณีศึกษา ‘ดุสิตธานี’ สู่ความร่วมสมัย

เพราะเรื่องราวของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ เหมือนเป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นยอดสำหรับผู้ที่สนใจในการพัฒนาการทางด้านศิลปวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมของไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายาม งบประมาณ และเวลาไม่น้อย รศ.สยุมพร กาษรสุวรรณ รองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร แสดงภาพให้เห็นถึงโครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยศิลปากรและกลุ่มดุสิตธานี ในครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี เนื่องจากเป็นครั้งแรกของความร่วมมือกันระหว่างภาคเอกชน และมหาวิทยาลัยภาครัฐที่จับมือกันวิจัย ศึกษา อนุรักษ์ และบันทึกมรดกทางประวัติศาสตร์ศิลปะและสถาปัตยกรรม ผ่านโครงสร้างอาคารและการออกแบบตกแต่งของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าประทับใจในแบบครบวงจร

“เราได้เก็บข้อมูลเชิงวิจัยกับสิ่งที่ควรอนุรักษ์ไว้ มหาวิทยาลัยศิลปากรมีบุคลากรที่มีฝีมือเยอะมาก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สถาบันการศึกษาทางศิลปะชั้นนำของประเทศได้ออกมาทำงานร่วมกันกับเอกชน ซึ่งจะเก็บรักษาสิ่งที่สวยงามของดุสิตธานีไว้ อนุรักษ์ความเป็นไทย นับเป็นสิ่งที่ท้าทายของทีมงานเก็บข้อมูลและทำงานวิจัยในครั้งนี้”

โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ นั้นถือเป็นต้นแบบของอาคารสถาปัตยกรรมไทยโมเดิร์นยุคแรกๆ ที่ได้รับการพูดถึงในการเรียนการสอนของนักศึกษาสถาปัตย์ ซึ่งเป็นการผสมผสานความทันสมัยแบบตะวันตกเข้ากับศิลปะสถาปัตยกรรมของไทย ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยอดพระปรางค์วัดอรุณ ซึ่งเป็นการคิดแบบนอกกรอบในการออกแบบสถาปัตยกรรมในยุคนั้น

นอกจากนั้น ยังได้เห็นการพัฒนาการและความก้าวหน้าของจิตรกรรมฝาผนังของไทย ซึ่งปรากฏอยู่บนผลงานของท่านกูฏ ปรมาจารย์ด้านจิตรกรรมไทยร่วมสมัย ที่ได้นำสีสันใหม่ๆ มาใส่ในงานจิตรกรรมไทยในห้องอาหารเบญจรงค์ ซึ่งตรงกับแนวคิดของดุสิตธานีที่ต้องการสะท้อนความเป็นไทยแบบร่วมสมัย

อดีตในรอยจำ มิติใหม่อนุรักษ์เอกลักษณ์เก่า กรณีศึกษา ‘ดุสิตธานี’ สู่ความร่วมสมัย

รวมถึงการจัดภูมิสถาปัตย์ การออกแบบสวนต่างๆ ที่เหมือนเป็นโอเอซิสใจกลางเมือง และเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้น้อยใหญ่ที่แวดล้อมอาณาบริเวณโรงแรม ซึ่งสร้างบรรยากาศ ความสงบเงียบ และเป็นแหล่งผลิตโอโซนขนาดย่อมๆ ให้แก่ย่านสีลม ผศ.ชวลิต ขาวเขียว คณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้บอกเล่าถึงกระบวนการทำงานว่า

“เริ่มงานจากเสาท่านกูฏกันก่อน (เสาอาคารของห้องอาหารเบญจรงค์ ซึ่งวาดลายไทยประยุกต์โดยศิลปินชื่อดังแห่งยุค ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ) เสาสองต้นต้องลอกลายเก็บรักษาแล้วตัดเก็บอนุรักษ์ไว้ ซึ่งเป็นงานของคณะจิตรกรรมฯ โรงแรมดุสิตธานีเคยเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ สร้างตึกที่สูงที่สุดเมื่อ 50 ปีที่แล้ว

ห้องนภาลัยก็เป็นต้นแบบของฮอลล์เพื่อความบันเทิงของคนกรุงเทพฯ คณะสถาปัตย์เก็บข้อมูลด้านประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม แล้วก็มีการเก็บพืชพรรณไม้ ต้นไม้ต่างๆ ด้วย ส่วนคณะโบราณคดีก็เก็บเรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะต่างๆ ที่มาและคุณค่าของความทรงจำ ส่วนด้านศิลปะร่วมสมัยก็จะมีศิลปินซึ่งเป็นอาจารย์มาตีความและวาดรูปดุสิตธานี เพราะทุกอย่างคือความทรงจำ”

ระหว่างทางการทำงาน ผศ.ชวลิต บอกว่าต้องทำแข่งกับเวลา และเป็นการทำงานที่เป็นนามธรรมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความทรงจำและความรู้สึก ซึ่งในอนาคตต้องมีแกลเลอรี่และมิวเซียมดิจิทัลไว้แสดงถึงอดีตที่ผ่านมาว่า ไม่ใช่การทุบทิ้งโดยไม่เห็นคุณค่า

ในปี 2562 ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล จะเริ่มดำเนินการสร้างโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Real Estate Development) อันประกอบไปด้วยอาคารที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าขาย และโรงแรม ทั้งนี้ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่ มีกำหนดเปิดให้บริการภายในปี 2566

ข่าวล่าสุด

หุ้นไทยปิดพุ่ง 19.30 จุด แรงซื้อหุ้นใหญ่ รับเคาะวันเลือกตั้งชัดเจน 8 ก.พ.69