ภูมิปัญญาไทย ก้าวไกลสู่อินเตอร์
เมื่อภูมิปัญญาแบบไทยๆ จากท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นต่อรุ่นอย่างการทอผ้าฝ้าย และการใช้สีย้อมครามจากธรรมชาติ
เรื่อง ภาดนุ
เมื่อภูมิปัญญาแบบไทยๆ จากท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นต่อรุ่นอย่างการทอผ้าฝ้าย และการใช้สีย้อมครามจากธรรมชาติ มีโอกาสก้าวไกลไปสู่ตลาดอินเตอร์ ย่อมต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดี แล้วเรายังอยากจะบอกต่ออีกว่า แบรนด์สินค้าที่เกิดจากภูมิปัญญาและฝีมือคนไทยซึ่งโกอินเตอร์นี้ มีมากกว่าหนึ่งแบรนด์ที่มีความโดดเด่นและน่าสนใจ
กานติมา แสนมาโนช (วัย 36 ปี) เจ้าของแบรนด์ “ริติเมียน” (Ritimian) สินค้าผ้าฝ้ายทอมือย้อมครามธรรมชาติ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ให้ฟัง
“เดิมทีแล้วดิฉันเป็นดีไซเนอร์ของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ผลิตเสื้อผ้าสไตล์ริช แวร์ ส่งออกไปยังสวีเดน แต่จุดเปลี่ยนก็คือตอนเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯ ในปี 2554 ดิฉันได้ย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ จ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นบ้านเกิด ดิฉันจึงได้แรงบันดาลใจในการใช้ผ้าฝ้ายทอมือที่ย้อมสีจากธรรมชาติและลวดลายในท้องถิ่นมาทำเป็นสินค้าออกวางขาย
แต่เดิมสีผ้าซิกเนเจอร์ของเราจะเป็นสีน้ำเงินม่อฮ่อม ซึ่งได้สีมาจากต้นฮ่อมธรรมชาติ ดิฉันก็มานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรให้ม่อฮ่อมมีลวดลายที่สามารถกลายเป็นอุตสาหกรรมชุมชนได้นะ เพราะม่อฮ่อมนั้นเดิมทีแล้วเป็นสินค้าพื้นเมืองของทางภาคเหนือ ดิฉันจึงเริ่มทดลองใช้ม่อฮ่อมที่ผ่านการย้อมจากภาคเหนือมาทำเป็นสินค้าดูก่อน โดยมีการผสมผสานลวดลายทางภาคอีสานเข้าไปด้วย แต่ก็อยากให้ลวดลายดูร่วมสมัยมากขึ้น ก็เลยนำลายผ้าซิ่นภูไทของกาฬสินธุ์และสกลนครมาทำเป็นผ้าฝ้ายย้อมครามดูก่อน แบรนด์ริติเมียนจึงเริ่มจากตรงนั้น”
กานติมา บอกว่า ริติเมียนเริ่มทดลองตลาดในปี 2558 และเริ่มสร้างแบรนด์อย่างจริงจังในปี 2560 จากความตั้งใจเดิมที่เริ่มจากการเป็นแบรนด์ท้องถิ่น ก็ต่อยอดจนกลายเป็นที่สนใจของผู้คน โดยเริ่มจากงานปัก งานกัดลายผ้า และการตัดเย็บเสื้อผ้าที่มีดีไซน์
“ความพิเศษของสินค้าแบรนด์ริติเมียนก็คือ งานปักส่วนใหญ่จะเป็นงานปักมือ ผ้าที่ทอก็เป็นผ้าฝ้าย 100% ซึ่งทุกอย่างเกิดจากวัตถุดิบและฝีมือแรงงานของคนในท้องถิ่น ที่ผ่านมาเราเริ่มกระบวนการย้อมครามในท้องถิ่นของเราเองได้พักใหญ่ๆ แล้ว ซึ่งการย้อมครามจะต่างจากการย้อมม่อฮ่อมตรงที่ การย้อมฮ่อมจะใช้สีจากต้นฮ่อม แต่การย้อมครามจะใช้สีจากต้นคราม แต่พืชทั้งสองชนิดนี้จะให้สีน้ำเงิน (Indigo) ที่คล้ายๆ กัน ซึ่งความแตกต่างของสีผ้าฝ้ายย้อมฮ่อมกับย้อมครามนี้จะขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งในการย้อม ถ้าย้อมหลายรอบก็จะได้สีเข้ม แต่ถ้าย้อมน้อยรอบก็จะได้สีที่อ่อนลง
สำหรับสีย้อมครามที่เรากำลังคิดค้นกันอยู่ จะเป็นสีครามที่เป็นซิกเนเจอร์ของชาวภูไท ซึ่งทำโดยคนภูไททั้งหมด อย่างผ้าฝ้ายล่าสุดที่ทำออกมา เราก็ใช้สีย้อมครามจากสกลนครมาย้อมทั้งหมดเลย ปัจจุบันนี้คอลเลกชั่นล่าสุดที่วางขายอยู่จะมีชื่อว่า Power of Mae Khlong ซึ่งตอนนี้มีขายที่สยามดิสคัฟเวอรี่ ชั้น 4 และดิ เอ็มควอเทียร์ ชั้น 4 และเร็วๆ นี้ก็จะวางขายที่โซนเอ็กโซติก ไทย ที่สยามพารากอนด้วย”
กานติมา เสริมว่า ริติเมียนมีสินค้าหลากหลาย ทั้งผ้าพันคอ เสื้อ กระโปรง กางเกง เสื้อโค้ต และแจ็กเกต โดยราคาเริ่มที่ 1,590-9,500 บาท ซึ่งเสื้อผ้ามีการตัดเย็บที่ร่วมสมัย มีลวดลายที่ผสมผสานความเป็นไทย และทำออกมาได้สวยจนน่าสวมใส่ทีเดียว
“การที่เราต้องขายสินค้าในราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากสินค้าทุกชิ้นล้วนเป็นงานแฮนด์เมดที่ใช้เวลาทำนานมาก ไม่ว่าจะเป็นการกัดลายผ้า การตัดเย็บ การต่อลาย การปักด้วยมือ หรือกว่าจะได้ผ้าที่ย้อมครามออกมาสักผืนก็ใช้เวลาหลายเดือนทีเดียว อย่างงานปักมือกว่าจะได้ผ้ามาสักผืน ก็ต้องผ่านขั้นตอนการลอกลาย การลงมือปัก ซึ่งต้องใช้เวลานานมากเช่นกัน จึงทำให้สินค้าของเรามีความพิเศษและไม่เหมือนใคร
ปัจจุบันนี้แบรนด์ริติเมียนยังถือว่าอยู่ในขั้นทดลองตลาดอยู่ค่ะ เราไม่ได้อิงกับกระแสแฟชั่นที่เปลี่ยนไปเร็วมากนัก เราจึงออกแบบตัดเย็บและลวดลายที่สามารถใช้ได้ในระยะยาว เพื่อที่ลูกค้าจะได้ตามหาซื้อได้ง่าย เพราะเรายังคงลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ไว้และจะพัฒนาต่อไป
สำหรับคอลเลกชั่นของปีนี้จนถึงปลายปีหน้า เราก็จะพัฒนาผ้าม่อฮ่อมให้ออกมาคล้ายๆ ผ้าเดนิม ซึ่งที่ผ่านมาเราได้นำไปโชว์ในงาน Young Thai Designer มาแล้ว ซึ่งก็มีลูกค้าทั้งเอเชียและยุโรปชื่นชอบกันมาก ล่าสุดก็เตรียมส่งออกไปที่ญี่ปุ่นและฮ่องกงด้วย น่าจะเป็นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าค่ะ”… ติดตามได้ที่ FB/IG : Ritimian
ด้าน ปิลันธน์ ไทยสรวง (วัย 35 ปี) เจ้าของแบรนด์ “ภูคราม” (Bhukram) ผ้าฝ้ายย้อมครามสีธรรมชาติ เผยว่า จุดเริ่มต้นในการสร้างแบรนด์มาจากหมู่บ้านเล็กๆ สองหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ในเทือกเขาของ อ.ภูพาน จ.สกลนคร นั่นคือ บ้านนางเติ่ง และบ้านหนองส่าน
“วิถีดั้งเดิมของคนแถบนี้ นอกจากทำการเกษตรหาอยู่หากินกับธรรมชาติแล้ว เมื่อมีเวลาว่างชาวบ้านที่นี่ก็จะทำเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สี่และเป็นวิถีชีวิตที่สืบทอดต่อกันมาเพื่อใช้เองมานานแล้ว มีทั้งการทอผ้า เย็บเสื้อ ผ้าซิ่น ผ้าห่ม และหมอน ซึ่งผ้าส่วนใหญ่จะเป็นผ้าฝ้ายย้อมครามสีพื้นๆ เรียบๆ ดิฉันจึงคิดว่าน่าจะต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านที่นี่ได้
ดิฉันจึงเริ่มทำแบรนด์ภูครามอย่างจริงจังในปี 2558 โดยเป็นผู้ผลิตผ้าฝ้ายย้อมครามตั้งแต่ต้นน้ำยันท้ายน้ำ เริ่มจากการปลูกฝ้าย (ส่วนหนึ่ง) การทอผ้า ย้อมคราม และอื่นๆ หลังจากผลิตผ้าฝ้ายย้อมครามออกมาเป็นผืนแล้ว ก็จะนำมาตัดเย็บและออกแบบลวดลายต่างๆ ให้มีดีไซน์ที่ดูทันสมัยมากขึ้น”
ปิลันธน์ เล่าว่า การย้อมครามหรือย้อมเสื้อผ้าในแถบนี้ เมื่อก่อนจะเรียกว่า “การย้อมเสื้อดำ” ซึ่งเป็นการใช้สีครามจากต้นครามธรรมชาติ และใช้วิธีย้อมซ้ำหลายๆ รอบ
“ปัจจุบันได้มีการทำลวดลายลงบนผ้าย้อมครามสีพื้นที่มีอยู่ในท้องถิ่นอยู่แล้ว โดยช่วงหลังมานี้เราได้มีการคิดและปรับลวดลายใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาด้วย ส่วนรูปแบบของเสื้อผ้าก็มีการปรับให้ดูเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ตอนนี้สินค้าของภูครามมีทั้ง ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ เสื้อ กางเกง กระโปรง ผ้าถุง และชุดเดรส ซึ่งคอนเซ็ปต์ของเราก็คือการนำจุดเด่นของสไตล์พื้นเมืองและสไตล์ใหม่ๆ มาผสมผสานกันให้สามารถใส่ได้ในหลากหลายโอกาส ทั้งใส่ในวันสบายสไตล์แคชชวล จนถึงใส่แบบเป็นทางการก็สามารถนำมามิกซ์แอนด์แมตช์กันได้
ตอนนี้แบรนด์ภูครามมีวางขายที่ “ร้านคำหอม” จ.สกลนคร สยามดิสคัฟเวอรี่ ชั้น 4 และจะวางขายที่อื่นอีกในอนาคต เหตุผลที่สินค้าผ้าฝ้ายย้อมครามมีราคาสูง ก็มาจากขั้นตอนในการทำที่ต้องใช้มือทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการดึงเส้นด้าย ทอผ้า และย้อมคราม ซึ่งล้วนแต่ใช้วิธีการธรรมชาติทั้งหมด รวมถึงการออกแบบสินค้าและการตัดเย็บที่มีหลายขั้นตอนด้วย ฉะนั้นกว่าจะได้เสื้อมา 1 ตัว มันต้องใช้เวลานาน จึงทำให้ค่าแรงสูงตามไปด้วย”
ปิลันธน์ เสริมว่า เมื่อทุกอย่างเป็นงานแฮนด์เมด ผ้าที่ออกมาจึงมีสีสันในโทนที่ต่างกันไปด้วย บางชิ้นทอด้วยด้ายเส้นใหญ่ บางชิ้นทอด้วยด้ายเส้นเล็ก สินค้าของภูครามที่ออกมาจึงค่อนข้างมีจำนวนจำกัด ถ้าขายหมดแล้วก็หมดเลย ดังนั้นราคาจึงค่อนข้างสูง โดยเริ่มที่ 1,350-9,000 บาท++ ส่วนใหญ่จะเป็นของที่มีไม่กี่ชิ้นและมีขั้นตอนในการทำที่พิถีพิถันเป็นอย่างมาก
“ที่ผ่านมาภูครามได้ไปแสดงผลงานในนิทรรศการที่กรุงโซล เกาหลีใต้ โดยร่วมเดินทางไปในนามเครือข่าย Volkskraft Thailand ซึ่งเป็นเครือข่ายส่งเสริมธุรกิจ SE ที่เป็นแบรนด์สินค้าในท้องถิ่นของไทย การไปงานนิทรรศการในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการแนะนำให้คนต่างชาติได้รู้จักกับผ้าฝ้ายทอมือและผ้าย้อมครามของไทย ซึ่งในงานก็เปิดโอกาสให้เราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับแบรนด์จากชาติอื่นๆ แล้วการไปครั้งนี้ยังทำให้มีโอกาสได้เห็นว่าตลาดสินค้าแฮนด์เมดในแต่ละประเทศเป็นอย่างไรด้วย
ครั้งหนึ่งภูครามเคยไปออกงานที่ญี่ปุ่น ซึ่งครั้งนั้นก็มีการแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องการทำธุรกิจเอสอี จึงเหมือนเป็นการแนะนำให้คนต่างชาติได้รู้จักกับแบรนด์เราในเบื้องต้น แต่ด้วยเวลาที่จำกัด เราก็คงต้องใช้โอกาสในครั้งต่อไปค่อยๆ อธิบายให้ชาวต่างชาติได้เข้าใจมากขึ้น
เท่าที่คนต่างชาติได้เห็นสินค้าของแบรนด์เรา พวกเขาก็ดูชื่นชอบและชื่นชมจนเราสามารถรับรู้ได้ ดิฉันเชื่อว่าเรื่องดีไซน์นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับชาวต่างชาติ เพราะส่วนใหญ่พวกเขาค่อนข้างจะให้ความสนใจทั้งเรื่องดีไซน์และกรรมวิธีในการผลิตด้วยเช่นกัน ในอนาคตเรากำลังดูความพร้อมในการผลิตของเราก่อนว่าจะสามารถส่งไปขายยังประเทศใดได้บ้าง เพราะอย่างที่บอกว่างานฝีมือ นอกจากต้องใช้เวลาผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพแล้ว ยังต้องมีคอนเนกชั่นที่ดีเป็นตัวช่วยที่สำคัญด้วยค่ะ”…ติดตามที่ IG : bhukram.thailand และแฟนเพจเฟซบุ๊ก : ภูคราม Bhukram
นอกจากสองแบรนด์นี้แล้ว ยังมีแบรนด์ไทยที่ก้าวสู่อินเตอร์อย่าง Indigo Collection ซึ่งเป็นสินค้าที่ระลึกพิเศษของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้รับการออกแบบโดยทีมดีไซเนอร์ภายใต้การสนับสนุนของคิง เพาเวอร์ ซึ่งให้ความสำคัญกับการใช้ผ้าย้อมครามจากบ้านนาขาม จ.สกลนคร อันเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ถ่ายทอดกันมา สู่การผลิตเป็นสินค้าที่ระลึก ซึ่งมีทั้งเสื้อโปโล เสื้อยืด หมวกแก๊ป หมวกไหมพรม กระเป๋าใส่ของ ผ้าพันคอ ฯลฯ ถือเป็นการผลักดันสินค้าท้องถิ่นไทยไปสู่ระดับอินเตอร์ พร้อมทั้งส่งเสริมและหาช่องทางในการจำหน่ายในต่างประเทศให้ด้วย สำหรับในเมืองไทยคอลเลกชั่นเสื้อผ้าย้อมครามสุดเก๋นี้มีจำหน่ายที่ Thai Lifestyle Collections ชั้น 3 คิง เพาเวอร์ รางน้ำ


