ฉลอง 50 ปี เลด เซพพีลิน บรรพบุรุษแห่งเฮฟวี่
ปี2018 นับเป็นเวลาที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองสำหรับ “เลด เซพพีลิน” และแฟนๆ ของพวกเขา เพราะวงดนตรีนี้กำลังจะมีอายุครบ 50 ปี
โดย เพ็ญแข สร้อยทอง ภาพ : Rhino Entertainment
ปี2018 นับเป็นเวลาที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองสำหรับ “เลด เซพพีลิน” และแฟนๆ ของพวกเขา เพราะวงดนตรีนี้กำลังจะมีอายุครบ 50 ปี
วงร็อกจากประเทศอังกฤษ ผู้กรุยทางให้กับเฮฟวี่เมทัล/ฮาร์ดร็อก ทั้งยังนับเป็นหนึ่งในวงที่ประสบความสำเร็จ และทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี
งานของ เลด เซพพีลิน เต็มไปด้วยพลังที่แฝงความลึกลับชวนค้นหา ทำให้คนฟังอยากจะขยับร่างกาย และปลดปล่อยไปสู่ความเป็นอิสระ ส่วนสมาชิกวงนั้นล้วนมีสีสันเปล่งประกายความเป็นสตาร์อย่างเจิดจ้า ความโดดเด่นของ เลด เซพพีลิน นั้นสามารถประจักษ์ได้ตั้งแต่แรกสัมผัส นั่นจึงทำให้พวกเขาสามารถสร้างตัวตนขึ้นมาได้ในวงการดนตรี ณ วันที่ เดอะ บีเทิลส์ และเดอะ โรลลิง สโตนส์ แรงร้อน
ก่อตั้งวงเมื่อปี 1968 โดยหนุ่มอังกฤษวัย 20 คือ จิมมี เพจ (กีตาร์) โรเบิร์ต แพลนต์ (ร้องนำ) จอห์น พอล โจนส์ (เบส/คีย์บอร์ด) และจอห์น บอนแฮม (กลอง) มารวมตัวกัน
ต้นทศวรรษ 1970 เลด เซพพีลิน ถูกเซ็นเข้าสังกัดแอตแลนติค เรคอร์ดส พร้อมข้อเสนออันงดงาม โดยวงมีสิทธิขาดในการทำงาน ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นคนทั่วไปยังไม่มีใครรู้จักวงด้วยซ้ำ เลด เซพพีลิน ปฏิเสธที่จะออกซิงเกิ้ล อัลบั้มแรกของพวกเขานั้นบันทึกเสียงเสร็จในเวลา 9 วัน หลังจากที่วงรวมตัวได้เพียง 1 เดือน
เดือน ธ.ค. 1968 เลด เซพพีลิน ออกทัวร์อเมริกาเป็นครั้งแรก ก่อนที่แอลพีชุดแรกของพวกเขาจะวางขาย คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักพวกเขา แต่หลังจากนั้นไม่นานงานเพลงของวงจึงค่อยๆ เป็นที่รู้จัก เมื่อพวกเขาได้ขึ้นเล่นที่บอสตัน ที ปาร์ตี้ เลด เซพพีลิน ก็ครองเวทียาวนานถึง 4 ชั่วโมง เพราะคนดูไม่ยอมให้หนุ่มๆ ลงจากเวที ปี 1969 พวกเขามีโชว์ 168 โชว์ และเหล่านักวิจารณ์ก็ฟันธงว่าวงนี้จะกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ความสำเร็จที่มาถึงอย่างรวดเร็ว ผลงานอัลบั้มชื่อเดียวกันกับชื่อวงก็ได้สร้างหนทางสำหรับดนตรีเฮฟวี่ พวกเขาเป็นที่รู้จักไปไกล อัลบั้ม Led Zeppelin II ที่ตามออกมาขึ้นถึงอันดับ 1 ในชาร์ตทั้งที่อังกฤษและสหรัฐอเมริกา การแสดงของ เลด เซพพีลิน มักจะยาวกว่า 3 ชั่วโมง เพราะทั้ง 4 คนต่างนิยมชมชอบการ “อิมโพรไวส์” พวกเขาเป็นวงแรกที่ใช้ซาวด์เอฟเฟกต์ซึ่งเรียกว่า “รีเวิร์ส เอคโค่” (Reverse Echo) ในการบันทึกเสียง ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงวันนี้ อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ลองฟังได้ในเพลง Whole Lotta Love
ตอนอายุการทำงานของวง เลด เซพพีลิน เล่นสดออกโทรทัศน์เพียงแค่ครั้งเดียว เพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นว่าวิศวกรเสียงคนนอกจะดูแลเสียงเพลงของวงได้อย่างดี
ดนตรีเฮฟวี่เมทัลอาจจะไม่ถือกำเนิดหากไม่มี เลด เซพพีลิน พวกเขาเป็นมากกว่าวงดนตรีวงหนึ่ง นิตยสารโรลลิงสโตนให้คำจำกัดความว่า พวกเขาคือ “ความหลงใหล ความลึกลับ และความเชี่ยวชาญ”
ดนตรีของพวกเขาตั้งแต่ชุดแรกถึงชุดสุดท้ายบอกว่า เลด เซพพีลิน นั้น “อยู่ระหว่างการค้นหาบางสิ่งบางอย่างเสมอ” ถ้าจะบอกว่าพวกเขาคืออัจฉริยะนักทดลองทางเสียงก็อาจจะไม่ผิด อัลบั้มแรกของวงนั้นโดดเด่นด้วยเสียงกีตาร์อันหนักหน่วง เป็นเพลงร็อกที่มีรากของบลูส์และไซคีเดลิค ก่อนจะพัฒนา เปลี่ยนแปลง นอกจากร็อก พวกเขายังชอบดนตรีบลูส์ โซล ฟังก์ โฟล์ก ฯลฯ
เลด เซพพีลิน ใส่ใจกับเรื่องการออกแบบปกอัลบั้มอย่างมาก พวกเขาเป็นผู้นำเรื่องนี้ โดยยังมีร่องรอยอิทธิพลปรากฏให้เห็นถึงในปัจจุบัน กับอัลบั้มชุดที่ 4 ซึ่งออกมาในปี 1971 บนปกไม่มีทั้งชื่อวงและชื่ออัลบั้มปรากฏบนปก ด้วยความตั้งใจที่จะให้ดนตรี “พูดเพื่อตัวเอง” นั่นกลายเป็นงานที่ขายดีที่สุดตลอดกาล โดยที่ไม่มีเพลงฮิตติดอันดับ 1 ในชาร์ตด้วยซ้ำ เลด เซพพีลิน จึงได้พิสูจน์ว่าสิ่งที่นักเขียนนักวิจารณ์บอกว่าพวกเขามีชื่อเสียงขึ้นมาได้เพราะโฆษณานั้นไม่เป็นความจริง
“พวกนักวิจารณ์น่ะไม่เข้าใจหรอกว่าเราทำอะไร” จิมมี เพจ กล่าว
หนึ่งในอัลบั้มนี้คือ Stairway to Heaven เพลงความยาว 8 นาที ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเพลงร็อกที่ดีที่สุดตลอดกาล
เลด เซพพีลิน ได้รับการต้อนรับอย่างดีเมื่อเดินทางไปแสดงที่สหรัฐอเมริกา บัตรเข้าชมการแสดงที่เมดิสัน สแควร์ การ์เดน ทั้ง 3 รอบขายได้หมด ทำลายสถิติจำนวนคนดูที่ เดอะ บีเทิลส์ เคยทำไว้ พวกเขาบันทึกการแสดงไว้ก่อนจะออกฉายในหลายปีให้หลัง
ปลายทศวรรษ 1970 แม้ดิสโก้และพังก์ร็อกจะน่าตื่นตาตื่นเต้น แต่ว่า เลด เซพพีลิน ก็ยังยืนเด่นโดยท้าทาย แต่สิ่งที่ทำให้วงเปลี่ยนไปและต้องถึงจุดจบคือยาเสพติด ชื่อเสียง และเงินตรา
ในวันที่ 25 ก.ย. 1980 หลังจากดื่มหนัก จอห์น บอนแฮม ก็หมดสติและเสียชีวิตในบ้านหลังหนึ่งของ จิมมี เพจ ด้วยความเศร้าโศก สมาชิกที่เหลืออยู่ตัดสินใจจะไม่ทำงานในชื่อ เลด เซพพีลิน ต่อ จึงประกาศเลิกวงอย่างเป็นทางการในเดือน ธ.ค. 1980
ในปี 1995 เลด เซพพีลิน ถูกเสนอชื่อเข้าสู่ร็อกแอนด์โรลล์ ฮอลล์ ออฟ เฟม ในหมู่สมาชิกที่เหลืออยู่มีความบาดหมางเกิดขึ้น เพิ่งจะมาดีกันช่วงต้นปี 2000 ระหว่างนั้น โรเบิร์ต แพลนต์ และจิมมี เพจ นั้นทำงานและออกทัวร์ร่วมกันเป็นระยะ ทั้งยังมีอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองด้วย สมาชิกที่เหลืออยู่ก็ได้กลับมารวมตัวกันอีก 4 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2007 พวกเขาแสดงเพื่อฉลอง 50 ค่ายเพลงแอตแลนติค โดย เจสัน บอนแฮม ลูกชายของ จอห์น มาร่วมวงในตำแหน่งกลอง
มีคนกล่าวว่าถ้า จอห์น บอนแฮม ไม่เสียชีวิต เลด เซพพีลิน ก็อาจจะมีเวลาทำงานในวงการนานกว่านั้น (อาจจะอยู่มาถึงปัจจุบันอย่าง เดอะ โรลลิง สโตนส์ ก็เป็นได้) พวกเขาน่าจะได้สร้างสรรค์ผลงานอันน่าตื่นเต้นได้มากกว่านั้น โรเบิร์ต เคยพูดถึงการกลับไปเล่นดนตรีด้วยกันกับเพื่อนเก่าว่า กลับไปเป็นครั้งเป็นคราวน่ะได้ แต่ว่าถ้าจะให้จริงจังยาวนานเห็นทีจะยากที่จะกลับไปทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ ทั้งด้วยวัยที่ล่วงเลยมาขนาดนี้แล้วด้วย “เราต้องเดินหน้าต่อไป”
แม้วงจะไม่มีอยู่แล้ว แต่ว่างานของ เลด เซพพีลิน ก็ยังคงขายได้ตลอดกาล บทเพลงของพวกเขา ไม่ว่าจะ Stairway to Heaven, Whole Lotta Love, Kashmir, Rock and Roll, Dazed and Confused, Black Dog, The Song Remains the Same, When the Levee Breaks, Immigrant Song, Communication Breakdown ฯลฯ ยังคงถูกเปิดออกอากาศทางวิทยุเป็นประจำ นั่นแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลยิ่งใหญ่ในวงการเพลงร็อกสมัยใหม่ของพวกเขา เลด เซพพีลิน ขายผลงานได้มากกว่า 300 ล้านชุดทั่วโลก และ 100 ล้านแผ่น เฉพาะในสหรัฐอเมริกา
ในวาระครบ 50 ปีของวง จิมมี เพจ บอกว่า วงจะนำผลงานที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อนออกวางขายแน่นอน นอกจากนั้นทั้งยังมีหนังสือเล่มพิเศษตามออกมาด้วย 3 สมาชิกที่เหลืออยู่ยืนยันว่า ปี 2018 นี้ความตื่นเต้นรออยู่สำหรับแฟนๆ ของ เลด เซพพีลิน
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จิมมี เพจ นำสตูดิโออัลบั้มของวงรวมทั้งอัลบั้ม Led Zeppelin ในปี 1969 และ Coda ในปี 1982 รวมทั้งบันทึกการแสดงสด The Complete BBC Sessions มารีมาสเตอร์ใหม่ พร้อมด้วยโบนัสอย่างเช่นแทร็กหาฟังยากและไม่เคยเผยแพร่มาก่อน จึงน่าสนใจที่ว่าจะเหลืออะไรอยู่บ้าง
ในวัย 70 ปี ทั้ง 3 สมาชิกที่เหลืออยู่ของ เลด เซพพีลิน จะมีอะไรให้เราตื่นเต้นได้ ต้องรอดู


