ศุภกิจ ห้วงน้ำ แห่ง ‘บ้านเปร็ดใน’ จ.ตราด พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ำชุมชน ตามแนวพระราชดำริ
แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งดำเนินการเป็นโครงการพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ
แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งดำเนินการเป็นโครงการพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ หรือ 4,000 บทเรียน ถือเป็นพระราชมรดกสำคัญที่พระราชทานให้กับแผ่นดินไทย เพื่อประโยชน์สุขของปวงพสกนิกร และวันนี้โครงการตามพระราชดำริต่างๆ ก็มีหลายหน่วยงาน สืบสานพัฒนาต่อไป
อย่างเช่นที่ชุมชนบ้านเปร็ดใน ต.ห้วงน้ำขาว อ.เมือง จ.ตราด เป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ ความสำเร็จของชุมชนจากการน้อมนำแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ใต้กรอบคิดการพึ่งตนเอง และใต้กรอบงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาพัฒนาชุมชน
บ้านเปร็ดในเป็น 1 ใน 15 ชุมชน ในประเทศที่พัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ
ศุภกิจ ห้วงน้ำ ประธานคณะกรรมการ กลุ่มบริหารจัดการน้ำบ้านเปร็ดใน นำชมพื้นที่และอธิบายวิธีการบริหารจัดการน้ำของคนในชุมชน ผ่านจุดศึกษาพื้นที่ 4 จุดในชุมชน ได้แก่ “จุดที่ 1 ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน มรดกผืนป่าตะวันออก” เป็นจุดพื้นที่ป่าชายเลนของบ้านเปร็ดใน ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ป่าชายเลน 1.2 หมื่นไร่ มีพันธุ์ไม้ 38 ชนิด เป็นป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์เป็นอันดับที่ 2 ในประเทศ รองจาก จ.พังงา ศุภกิจ บอกว่า
“คณะกรรมการกลุ่มบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบ้านเปร็ดใน จะมีการประเมินความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ทุกๆ 3 ปี เพื่อเป็นการติดตามผลการบริหารจัดการของชุมชน”
ตามด้วยการชมพื้นที่ในจุดที่ 2 “ระบบการบริหารจัดการน้ำจืด-น้ำเค็ม” โดย ศุภกิจ ขยายความว่า คณะกรรมการกลุ่มได้สำรวจพื้นที่ในชุมชนที่สามารถกักเก็บน้ำได้ เช่น ลำรางเก่า และรางระบายน้ำในหมู่บ้าน และใช้เทคโนโลยี เครื่องระบุพิกัดจีพีเอส แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม และกล้องส่องระดับเข้ามาช่วยเสริม เป็นต้น
“เพื่อสำรวจและจัดเก็บข้อมูล นำมาวิเคราะห์ความลาดเทของพื้นที่ และเลือกใช้หลัก “น้ำจืดดันน้ำเค็ม” ประยุกต์จากแนวคิดการทำฝายชะลอน้ำ เพื่อเก็บกักน้ำจืดเป็นช่วงๆ เป็นแนวกั้นน้ำเค็มรุกล้ำพื้นที่ เกษตรและแหล่งน้ำจืดของชาวสวน ซึ่งผลจากการดำเนินการ ทำให้ปริมาณน้ำในสระน้ำ ประจำสวนของชาวบ้านเพิ่มขึ้น เก็บกักน้ำจืดได้ยาวนาน ลดปัญหาขาดแคลนน้ำช่วงหน้าแล้ง”
ต่อด้วยการนำชมพื้นที่ในจุดที่ 3 “การสำรองและกักเก็บน้ำจืด” ประธานคณะกรรมการกลุ่ม ศุภกิจ อธิบายว่า ในอดีตชุมชนบ้านเปร็ดในมีอาชีพทำนากุ้ง
“เมื่อป่าชายเลนถูกทำลาย และราคาผลผลิตตกต่ำ จึงเลิกผลิตนากุ้ง ปรับพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งเก็บน้ำสำรอง หรือสระแก้มลิง พร้อมทั้งปรับพื้นที่เกษตรเป็นร่องสวน และให้น้ำจืดกันน้ำเค็มจากการซึมใต้ดินที่จะเข้าสู่แหล่งเก็บน้ำของชาวสวน โดยดำเนินการพัฒนาบ่อกุ้งร้างเป็นสระแก้มลิง ใช้พื้นที่ 736 ไร่ เพิ่มความจุในการกักเก็บน้ำจืดได้รวม 1,776,505 ลบ.ม. และสามารถปรับพื้นที่เกษตรเป็นร่องสวน ด้วยระยะทางการดำเนินงานทั้งสิ้น 9,776 เมตร ในพื้นที่ 12.2 ไร่ เก็บกักน้ำได้ 29,330 ลบ.ม.”
สำหรับพื้นที่นำชมจุดที่ 4 “จุดเกษตรผสมผสานตามแนวทฤษฎีใหม่” ลงดูแปลงตัวอย่างของ พัดชา บวรสถิต บนพื้นที่ 14 ไร่ พบว่า มีพื้นที่นากุ้งร้าง 3.45 ไร่ และร่องสวน 5.89 ไร่ ใช้เป็นพื้นที่เก็บน้ำและเลี้ยงปลา มีพื้นที่ปลูกไม้ยืนต้นและผลไม้ พื้นที่พืชสมุนไพร และพื้นที่ปลูกผักสลับไม้ล้มลุก หมุนเวียนตลอดทั้งปี ศุภกิจ ชี้ให้เห็นว่า คนในชุมชนบ้านเปร็ดในรวมกลุ่มดำเนินงานเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่จนประสบความสำเร็จ
“มีการจัดสรรพื้นที่แปลงเกษตรใช้พื้นที่เพาะปลูกให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการจัดทำปฏิทินการเกษตรรายปี วางผังการเกษตรรายแปลง จัดวางระบบสำรองน้ำ และระบบกระจายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันปั้นเกษตรกรตัวอย่างความสำเร็จตามแนวทฤษฎีใหม่ 17 ราย และขยายผลด้วยตนเองอีก 118 ราย”
ศุภกิจ กล่าวต่อว่า ช่วงประมาณปี 2484-2526 กลุ่มนายทุนได้รับสัมปทานป่าชายเลนในพื้นที่ เพื่อทำนากุ้ง ทำให้ป่าชายเลนได้รับความเสียหาย หลังจากนั้นชุมชนที่หันมาประกอบอาชีพทำนากุ้งปล่อยน้ำลงป่าชายเลน โดยไม่มีระบบกำจัดน้ำเสีย
“ยิ่งทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรม จนกระทั่งในปี 2536 ชาวบ้านที่ประกอบอาชีพนากุ้งขาดทุน มีภาวะหนี้สินรวมกันกว่า 30 ล้านบาท ดังนั้นในปี 2537 คนในชุมชนเกิดข้อตกลงร่วมกันในการประกาศปิดป่า ห้ามชุมชนเข้าไปทำประโยชน์จากป่าไมhทั้งหมด และค่อยๆ ฟื้นฟูป่าชายเลน”
ทั้งนี้ เมื่อคนในชุมชนประสบภาวะขาดทุนจากการทำนากุ้ง ทำให้ในพื้นที่เหลือแปลงนากุ้งร้างจำนวนมาก นักพัฒนาชุมชน จึงเปลี่ยนแปลงเป็นสระแก้มลิง เพื่อกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรกรรมตามแนวพระราชดำริ โดยในปี 2541 ศุภกิจ บอกว่า เกิดกลุ่มอนุรักษ์และพัฒนาป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน เพื่อพัฒนาพื้นที่ จนมีความอุดมสมบูรณ์เป็นลำดับที่ 2 ของไทย และอันดับ 20 ต้นๆ ของโลก
“เกิดการเพาะขยายพันธุ์สัตว์น้ำ ทำบ้านปลา ธนาคารปูดำ และรณรงค์ให้หยุดจับปูแสมในช่วงฤดูวางไข่ ภายใต้โครงการหยุดจับร้อยคอยจับล้าน”
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้จะมีการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลน ชุมชนยังคงพบปัญหาภัยแล้ง ซึ่งพบปัญหาหนักในช่วงปี 2550 กระทั่งปี 2552 ชุมชนจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการกลุ่มบริหารจัดการน้ำบ้านเปร็ดใน เพื่อดำเนินงานด้านการบริหารจัดการน้ำชุมชน แก้ปัญหา น้ำจืด น้ำเค็มและน้ำกร่อย ตามรูปแบบการบริหารจัดการน้ำที่กล่าวไปในข้างต้น ซึ่งสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และการเกษตร (องค์การมหาชน) คัดเลือกชุมชนเป็นแม่แบบในการบริหารจัดการน้ำ
“ชุมชนเกิดความมั่นคงจากการบริหารจัดการน้ำ ทั้งการอุปโภค บริโภค และการเกษตร โดยในปี 2551 สมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯเยือนชมพื้นที่ป่าชายเลนชุมชนบ้านเปร็ดใน ทำให้คนในชุมชนรู้สึกปลื้มใจ ว่าอย่างน้อยสิ่งที่ได้ทำ สิ่งที่ตั้งใจอนุรักษ์ป่า พระองค์ทรงเห็น” ศุภกิจ กล่าว
ปัจจุบันหนี้สินของคนในชุมชนจากการทำนากุ้งค่อยๆ ลดลงไป จากการทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ และการรวมกลุ่มบริหารจัดการน้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต ซึ่งน้ำคือหัวใจของทุกชุมชน
ความสำเร็จของชาวบ้านเปร็ดใน ที่เป็นต้นแบบ 1 ใน 15 ของประเทศของการบริหารจัดการน้ำ ตามแนวพระราชดำริ ซึ่งประสบความสำเร็จจากความตั้งใจ ความเข้าใจ ความรัก และความสามัคคี ตรงตามแนวพระราชดำริ และยังสามารถบริหารจัดการน้ำที่ขอบอกว่าเป็น 4 น้ำ คือ น้ำทะเล น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเสีย นับเป็นสุดยอดของหลักวิชาการ ที่ยากในการที่แก้ปัญหาได้
แต่ชุมชนบ้านเปร็ดในสามารถทำสำเร็จเรียกว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ต้นแบบให้ชุมชนอื่นได้เข้ามาศึกษา ความสำเร็จของบ้านเปร็ดในนั้นมิใช่เพียงแก้ปัญหาเรื่องน้ำ แต่ยังแก้ปัญหาเรื่องความยากจนที่นำแนวเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ในการทำเกษตรมาใช้จนทำให้ลดต้นทุนและเพิ่มรายได้รับมากขึ้น คำสอนของในหลวง รัชกาลที่ 9 เหล่านี้ก็จะอยู่กับชุมชนบ้านเปร็ดในที่เป็นต้นแบบในการนำพระราชดำริของพระองค์ท่านมาใช้จนประสบความสำเร็จ


