posttoday

นครินทร์ บุญรอด หัวใจสีเขียวและใช้ชีวิตพอเพียง

05 พฤศจิกายน 2560

วิศวกรไฟฟ้าหนุ่ม อาร์ต-นครินทร์ บุญรอด วัย 35 ปี

โดย วราภรณ์ ภาพ : นครินทร์ บุญรอด

วิศวกรไฟฟ้าหนุ่ม อาร์ต-นครินทร์ บุญรอด วัย 35 ปี วันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ขอสลัดยูนิฟอร์มและรองเท้าบู๊ต เครื่องแบบในตำแหน่งบิซิเนส ดีวิลอปเปอร์ นวัตกรรมเพื่อสังคม บริษัท ฮิตาชิ เอเชีย (ประเทศไทย) มาสวมหมวกอีกใบคือ เป็นเจ้าของเพียว ออร์แกนิค ฟาร์ม ณ จ.ฉะเชิงเทรา ที่นอกจากปลูกผักออร์แกนิกหลากหลายชนิดไว้รับประทานเองแล้ว หากเหลือกินก็จัดจำหน่ายกระจายไปให้คนรักสุขภาพได้กินบ้าง เขายังเปิดฟาร์มแห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้ผู้ที่สนใจการปลูกผักเลี้ยงสัตว์แบบเกษตรอินทรีย์ได้มาเรียนรู้ศาสตร์พระราชาและทำการเกษตรแบบพอเพียงอีกด้วย ซึ่งนครินทร์ก็ค้นพบว่า การใช้ชีวิตแบบนี้สามารถมีชีวิตที่สงบสุขได้ ที่มากกว่านั้นคือเขาได้พาลูกชายตัวน้อยวัย 3 ขวบ ไปสัมผัสกับวิถีธรรมชาติส่งผลให้ลูกมีจิตใจที่โอบอ้อมอารีมากกว่าเด็กๆ ในวัยเดียวกัน

นครินทร์ บุญรอด หัวใจสีเขียวและใช้ชีวิตพอเพียง

วางแผนให้ดี ชีวิตก็ไม่ต้องเร่งรีบ

หน้าที่ในออฟฟิศระหว่างจันทน์ถึงศุกร์ของนครินทร์คือ การดูแลโปรเจกต์ด้านการประหยัดพลังงาน ดูแลเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆ หรือระบบความปลอดภัยและซอฟต์แวร์ต่างๆ แต่เสาร์อาทิตย์เขาขอไปใช้ชีวิตเรียบง่ายกับไก่ไข่และพืชผักในสวน นิยามการใช้ชีวิตแบบ Slow ของนครินทร์ก็คือ การไม่ต้องทำอะไรที่เร่งรีบ ชีวิตไม่ต้องมีเงื่อนไขอะไรมากมาย หากชีวิตนอนให้เร็วตื่นให้เช้าและดำเนินชีวิตแบบช้าๆ ชีวิตก้าวต่อๆ ไปก็ไม่ต้องรีบเร่งนัก เพราะทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานมีเป้าหมายของชีวิตที่ชัดเจน จัดลำดับความสำคัญของงานอันไหนสำคัญทำก่อน

“สโลว์ไลฟ์ของผมคือ ผมจะตั้งเป้าหมายกับชีวิตคือ ผมต้องมีอิสรภาพทางการเงินตอนอายุ 40 ต้นๆ ซึ่งตอนนี้ผม 35 ปีแล้ว อิสรภาพทางการเงินของผมก็คือ ต้องมีรายได้ของทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน ก็จะทำให้เราไม่ต้องทำงานเพื่อให้ได้เงินเลี้ยงชีพ หรือการเพิ่มรายได้ให้เยอะๆ มากกว่ามีหนี้สิน เป้าหมายที่ 2 คือ ลดหนี้สินให้พอกับรายได้ที่เราหาได้ ซึ่งตอนนี้ผมมาได้ครึ่งทางแล้วเมื่อได้ทำฟาร์มของตัวเองเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว ก็พอจะสามารถมีรายได้เลี้ยงชีพโดยที่เราไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น มีข้าวกิน มีผักผลไม้ มีปลากินโดยไม่ต้องซื้อ ช่วยลดรายจ่ายไปได้เดือนละ 70% ชีวิตประจำวันของผมคือ กินข้าวเช้าที่บ้าน กลางวันกินข้าวแถวๆ ออฟฟิศ เย็นก็กลับมากินข้าวฝีมือภรรยาที่บ้าน ซึ่งวัตถุดิบทุกอย่างเป็นของที่ฟาร์มเรามีอยู่แล้ว”

อีกทั้งหลังจากที่กินผักออร์แกนิกที่ตนเองสามารถการันตีว่าปลอดสารปนเปื้อนแน่แท้ เขาพบว่าสุขภาพของเขาดีขึ้น ไม่แพ้อาหารอีกเลย

“ผมชอบกินผักสด ซึ่งการทำให้ผักผ่านความร้อนจะช่วยลดสารพิษได้ แต่ผมชอบกินผักดิบๆ เช่น ผักสลัดหากผักไม่ออร์แกนิกจริงผมจะเกิดอาการแพ้คือ คลื่นไส้ อาเจียน ยิ่งคุณแม่เสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ ผมยิ่งตระหนักถึงการเลือกกินมากขึ้น”

นอกจากเรื่องการเลือกกิน นครินทร์ยังนิยมใช้รถโดยสารสาธารณะด้วยการขับรถยนต์ออกบ้านแต่เช้าตรู่ย่านรามคำแหง และนำรถยนต์ไปจอดที่แอร์พอร์ตลิงค์ทับช้างและนั่งรถไฟฟ้า 2 ต่อเพื่อมาทำงานย่านสีลม การเดินทางด้วยวิธีนี้ทำให้เขามีเวลาคืนมาถึง 2 ชั่วโมง/วันทีเดียว

นครินทร์ บุญรอด หัวใจสีเขียวและใช้ชีวิตพอเพียง

จุดเริ่มต้นชีวิตสีเขียว

นครินทร์เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการทำเพียว ออร์แกนิค ฟาร์ม ณ จ.ฉะเชิงเทรา มาจากคุณแม่ของเขาป่วย พบก้อนเนื้อที่ลำไส้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทำการผ่าตัดนำก้อนเนื้อมาตรวจ และพบว่าเป็นแค่ก้อนเนื้อธรรมดา แต่ผ่านไปราว 2-3 ปีก้อนเนื้อนั้นกลายเป็นมะเร็งลำไส้และคุณแม่ก็เสียชีวิตต่อมาไม่นาน ทำให้เขาเริ่มฉุกคิดและเริ่มตระหนักว่า ก้อนเนื้อในร่างกายคุณแม่เกิดจากอะไร และเกิดได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ก็เลือกซื้อเลือกกินอยู่พอควรแล้ว เขาจึงลองเริ่มศึกษาแล้วก็ค้นพบข้อมูลว่า แม้ผักปลอดสารในซูเปอร์มาร์เก็ตมีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกก็จริง

ล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ผักหรืออาหารที่เลือกซื้อปลอดสารเจื้อปนจริงหรือไม่ นครินทร์จึงลองศึกษาถึงเบื้องลึกลงไปอีกว่า การปลูกผักโดยไม่ใช้สารเคมีเลย โดยอาศัยวิธีธรรมชาติที่สุด คือการปลูกผักออร์แกนิกมักมีต้นทุนที่สูง และเสียค่าขนส่งราคาแพง นครินทร์จึงนำที่ดินของภรรยาที่รกร้างว่างเปล่ามานานกว่า 10 ปี ที่มีมากกว่า 15 ไร่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ คือการปลูกผักออร์แกนิกแท้ๆ ไว้รับประทานเอง

“เดิมทีภรรยามีบ้านสวน ซึ่งพ่อตาแม่ยายของผมก็อยู่กันแบบบ้านสวน ปลูกผักโดยไม่ใช้สารเคมีเหมือนกัน และทิ้งร้างมานานกว่า 10 ปี เราน่าจะนำที่ดินมาทำให้เกิดประโยชน์ด้วยการทำฟาร์มปลูกผักและเลี้ยงไก่ไข่ด้วยวิถีไม่ใช่สารเคมีเลย เพื่อนำผลผลิตมารับประทานเอง และคิดว่าหากเหลือก็ยังนำไปจำหน่ายเพื่อให้คนทั่วไปที่ห่วงใยด้านสุขภาพได้กินผักผลไม้ที่ปลูกโดยปลอดสารพิษอย่างแท้จริงบ้าง อีกเหตุผลหนึ่งคือ เวลาไปซื้อผักออร์แกนิกตามห้างสรรรพสินค้า เป็นผักออร์แกนิกแต่ไม่มีตรารับรองในการผลิตติดเป็นฉลากที่ข้างถุง เหมือนพูดลอยๆ ผมรู้แบบนี้ก็ไม่กล้าซื้อกิน หรือพวกมีตรารับรองก็ขายราคาแพงมากๆ ผมจึงเกิดคำถามว่าผักออร์แกนิกปลูกยากจริงเหลือ”

เมื่อเกิดคำถาม นครินทร์จึงทำการศึกษาวิธีปลูกผักออร์แกนิก ประกอบกับมีที่ดินที่ถูกต้องตามหลักการปลูกผักออร์แกนิกคือ ที่ดินต้องปลอดสารเคมีนาน 3 ปี เขาจึงปรับพื้นที่บ้านสวนให้กลายเป็นแปลงปลูกผัก เลี้ยงไก่ ทำนาข้าว เลี้ยงวัว เป็นต้น

นครินทร์ บุญรอด หัวใจสีเขียวและใช้ชีวิตพอเพียง

ปลูกพืชผักเลี้ยงสัตว์

ตามวิถีเกษตรทฤษฎีใหม่ 

 “ชีวิตคนเมืองของผมคือ ผมนอนวันละ 6 ชั่วโมง เริ่มเข้านอนตอน 4 ทุ่ม ตื่นตี 4 พอได้ตื่นเช้าผมจึงมีการวางแผนก่อนออกจากบ้าน ผมจะออกจากบ้าน 6 โมงเช้า ถึงออฟฟิศ 7 โมงเกือบ 8 โมง ส่วนเสาร์อาทิตย์ตื่นเช้าเหมือนเดิมแล้วค่อยออกจากบ้านตอน 6-7 โมงเช้า พอถึงฟาร์มก็ออกไปตรวจฟาร์ม วางแผนเรื่องของสต๊อกว่า อาทิตย์นี้เก็บพืชผลได้เท่าไร ขายได้เท่าไร ผมมีลูกมือ 3 คน ช่วยดูแลผลผลิต ได้ไปดูแลความเรียบร้อย ดูการจัดจำหน่าย การบรรจุ การทำหีบห่อ ถ้าเราวางแผนดี เราจัดการอะไรได้ง่ายกว่า ไม่มีปัญหาผักเสีย วางแผนผักนี้ปลูกเก็บเมื่อไหร่ มีแมลงขึ้นเท่าไรจะต้องจัดการแมลงแบบไหน เราต้องวางแผนการปลูก เพราะเราไม่สามารถปลูกผักชนิดเดิมซ้ำได้ ถ้าวางแผนได้ การปลูกจะได้มีระบบ”

ด้วยนครินทร์ห่วงใยสุขภาพและชอบกินสลัดผักมาก ผลผลิตเริ่มแรกเขาจึงเริ่มที่ผักสลัดนานาชนิด เช่น เรดโอ๊ก กรีนโอ๊ก คอส กรีนสลัดโบว์ล ร็อกเกต ฯลฯ หลักการปลูกผักออร์แกนิกควรปลูกผลผลิต 3 ชนิดหมุนเวียนกันไป

“พอเราทำออร์แกนิก เราปลูกผักชนิดเดิมซ้ำไม่ได้ เราต้องปลูกพืชผล ผักกินหัวและผักกินใบด้วย ปลูกผัก 3 ชนิด เพื่อตัดแมลง ผักกินผล เช่น ข้าวโพดหวาน แตงกวา ถั่วฝักยาว มะเขือยาว แครอต มันหวานญี่ปุ่น และก็พวกสมุนไพร เช่น ตะไคร้หอม อัญชัน ขิง ใบเตย เตยหอม สมุนไพรเราแปรเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งก็มาจากครอบครัวเราชอบกินน้ำสมุนไพร มีผลไม้ยืนต้น เช่น มะพร้าวน้ำหอม มะม่วงอกร่อง มะละกอ โดยต้นไม้ยืนต้นเราปลูกรอบนอกเพื่อไม่ให้บังแสง ซึ่งก่อนปลูกต้องมีการวางผังเพื่อความเหมาะสม” แม้มีที่ดิน 15 ไร่ ปลูกได้แค่ 5 ไร่ เพื่อป้องกันสารเคมีจากไร่อื่นเข้ามา

ไม่เพียงต้องปลูกผักหมุนเวียนกันไป 3 ชนิดเท่านั้น ฟาร์มของเขายังผลิตปุ๋ยเองด้วยการเลี้ยงวัวนม กับไก่ไข่เพื่อนำมูลสัตว์มาทำเป็นปุ๋ย เพื่อให้พืชผลของไร่เป็นผักออร์แกนิกที่ปลอดภัยจริงๆ ซึ่งกรรมวิธีในการดูแลพืชสวน พืชไร่ และการเลี้ยงสัตว์ นครินทร์ใช้หลักเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทั้งหมด

“พระองค์ได้พระราชทานทฤษฎีไว้ 3 ขั้น 1 คือ จัดสรรพื้นที่คือ มีระบบชลประทาน มีแหล่งน้ำ มีต้นไม้ใหญ่ มีพื้นที่ปลูกพืชผสมผสาน ตรงกับแนวเกษตรอินทรีย์ ซึ่งผมมีหมด ขั้น 2 คือรวมกลุ่มกัน เพื่อสร้างดีมานด์จะได้สร้างอำนาจต่อรอง มีการแชร์เครื่องจักร เครื่องสีข้าว ถ้าเราทำตัวของข้าวอินทรีย์ เราห้ามใช้เครื่องสีที่ไปสีข้าวที่มีสารเคมีเลย หรือชนิดของพันธุ์ข้าวก็ต้องเป็นเมล็ดข้าวอินทรีย์ รถเกี่ยวข้าวก็ต้องห้ามใช้ร่วมกัน ถ้าเราลงทุนเอง ซื้อของทุกอย่างเองไม่คุ้ม ต้องรวมกลุ่มกันซื้อเครื่องมือแล้วแบ่งกันใช้ ซึ่งเรากำลังรวมกลุ่มชาวบ้านเพราะชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนมาปลูกข้าวแบบอินทรีย์กันมากขึ้นแล้ว”

ขั้นที่ 3 คือจัดหาแหล่งเงินทุน เพื่อเปิดเป็นนิติบุคคลเพื่อการก้าวหน้าและต่อยอดต่อไป

“จำเป็นที่เราต้องมีเครื่องจักรไว้แปรรูปสินค้า เพื่อการมีกำไรที่ดีป้องกันความเสี่ยง เกษตรกรที่ดีต้องผันตัวเองเป็นพ่อค้าเองด้วย เราต้องทำตลาด ทำแบรนดิ้ง มีมาตรฐานการดำเนินการเพื่อให้เกษตรกรพอเลี้ยงตัวเองได้”

นครินทร์ บุญรอด หัวใจสีเขียวและใช้ชีวิตพอเพียง

สอนลูกให้รู้จักวิถีแบบพอเพียง

และอยู่กับธรรมชาติ

เกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรอินทรีย์ไม่เพียงทำให้สุขภาพนครินทร์ดีขึ้น แต่ยังส่งผลไปถึงน้องอัลฟ่า-ด.ช.พรรษิษฐ์ บุญรอด วัย 3 ขวบ ที่ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติทำให้เด็กน้อยมีพัฒนาการที่ดีทั้งทางด้านกายภาพ ได้ลองลงแรง ได้ออกกำลังกายในไร่นาดีกว่าเล่นไอแพดอยู่กับบ้าน

“ทุกอาทิตย์ ลูกจะได้ไปวิ่งเล่นในฟาร์ม ทำให้เขามีความรับผิดชอบมากขึ้น เวลาไปถึงฟาร์มสิ่งแรกที่ลูกทำคือ จะวิ่งไปเก็บไข่ไก่ก่อน เพื่อนำไปเตรียมอาหารเช้า เขารู้วิธีคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ ทำให้ลูกได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้พัฒนาอีคิวในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เขาก็จะรู้ว่าดอกไม้เด็ดไม่ได้ เพราะดอกไม้เป็นที่อยู่ของเต่าทองที่ช่วยมากินเพลี้ยต้นไม้ สังเกตเขามีจิตใจที่โอบอ้อมอารี ตอนที่วัวคลอดลูก เขาหยิบผ้ามาเช็ดที่ลูกวัวโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องบอกอะไร การคลุกคลีอยู่ในฟาร์มทำให้เขารู้ว่าต้องดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัว เจอขยะก็เก็บ สิ่งเหล่านี้ลูกได้สัมผัสเองและพ่อแม่ต้องสอนด้วย คุณครูที่โรงเรียนก็บอกว่าลูกมีความเป็นสุภาพบุรุษ ชอบช่วยเหลือเพื่อนๆ และเขามีความเป็นจิตอาสามาก ผมมองว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวล่อหลอมให้เขาเป็นเด็กแบบนี้”

สุดท้าย นครินทร์บอกว่า ความสุขจากการใช้ชีวิต ไม่ได้อยู่ที่วัตถุภายนอก แต่ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ เรารู้จักตัวเองว่า ต้องการอะไร เราพอเพียง สามารถลดกิเลสความอยากได้มากแค่ไหน

“เรารู้ว่าเราอยากทำอะไรกับตัวเองได้มากแค่ไหน โดยไม่ต้องบีบคั้นจะต้องทำให้ได้ ถ้าบอกว่าไม่อยากได้เงินคงไม่ใช่ ผมมีคติในการใช้ชีวิตก็คือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เราจะได้ไม่เสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ส่วนของอิสรภาพทางการเงินไม่จำเป็นต้องมีรายได้มากๆ แต่แค่เราลดความอยากในตัวเอง คุณจะพบกับอิสรภาพทางการเงินได้เหมือนกันในมุมมองของผม ชีวิตเราไม่ต้องหรูหรา ขับรถญี่ปุ่นก็ได้ ไม่ต้องใส่แบรนด์เนมเพราะผมมองว่าเป็นของฟุ่มเฟือย ซึ่งผมดำเนินชีวิตแบบเก็บเงิน 70% เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นำเงินไปเรียนหนังสือเพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอๆ และใช้จ่ายเพียง 30% ผมคิดและทำแบบนี้ตั้งแต่เรียนยังไม่จบครับ”

แล้วมนุษย์เราก็จะสามารถค้นพบวิธีมีความสุขได้ในแบบของเราเอง

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด วอลเลย์บอลหญิงซีเกมส์ ไทย พบ อินโดนิเซีย วันนี้