กาณต์จีรา สุกสี นักเรียนโรงเรียนบ้านนอกเล็กๆ มีพระราชาเป็นครู
ตอนอยู่ ม.6 พระองค์ทรงถามก่อนเสด็จฯ กลับว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เรายังไม่ทันได้ตอบ พระองค์ตรัสว่า จะเป็นอะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นคนดี กลับมาทำประโยชน์ให้กับสังคม
เรื่อง : มัลลิกา นามสง่า ภาพ : กิจจา อภิชนรจเรข
"ตอนอยู่ ม.6 พระองค์ทรงถามก่อนเสด็จฯ กลับว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เรายังไม่ทันได้ตอบ พระองค์ตรัสว่า จะเป็นอะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นคนดี กลับมาทำประโยชน์ให้กับสังคม"
แพร-กาณต์จีรา สุกสี เล่าถึงนาทีสำคัญในชีวิต ที่เป็นดังแสงส่องทางให้เธอประกอบสัมมาชีพ
ปัจจุบัน กาณต์จีราทำงานเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
อดีตเธอเป็นนักเรียนโรงเรียนวังไกลกังวล และนักเรียนทุนพระราชทาน มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ
โรงเรียนบ้านนอกเล็กๆ ชื่อ วังไกลกังวล
"ถ้ามีคนถามว่าจบมาจากโรงเรียนไหน จงบอกเขาเถิดว่า มาจากโรงเรียนบ้านนอกเล็กๆ ที่ชื่อ วังไกลกังวล"
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ติดไว้เตือนใจนักเรียนทุกรุ่น ณ โรงเรียนวังไกลกังวล
ตัวอักษรนี้กาณต์จีราอ่านทุกวัน และก็รู้สึกภาคภูมิใจ เมื่อเวลาล่วงเลยตั้งแต่เข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จวบจนวันนี้ กาณต์จีราสามารถถ่ายทอดพระบรมราโชวาทนี้ได้โดยไม่ต้องอ่านตามตัวอักษร และไม่ใช่การท่องจำ หากทุกๆ คำฝังแน่นในสามัญสำนึก และเธอภาคภูมิใจยิ่งนัก
กาณต์จีรา อาศัยที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พ่อ พี่ชาย พี่สาว ก็เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนวังไกลกังวล และปี 2543 เธอมีโอกาสเข้าเรียน
"รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะมีแค่ถนนเส้นเล็กๆ กั้นระหว่างโรงเรียนกับพระราชวัง เวลาเดินไปโรงเรียนแพรจะชะเง้อมองตลอด และในพระราชวังมีแบ่งเขตเป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนมาวิ่ง เด็กนักเรียนเรียกกันว่า ทะเลน้อย เพราะตรงนั้นจะมีสระน้ำอยู่ เคยเข้าไปตอนเรียนวิชาพละ
อยู่โรงเรียนก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไป มีซนบ้าง แต่ไม่เสียงดังมาก และเรียบร้อย เพราะโรงเรียนมีผู้ใหญ่มาบ่อยๆ
เวลามีขบวนเสด็จเราก็จะชะเง้อมองตลอด แต่ไม่เคยเห็นพระองค์ เห็นแต่รถยนต์พระที่นั่งที่วิ่งผ่านไป ตอนนั้นก็มีความคิดเหมือนคนอื่นๆ อยากเห็นในหลวงใกล้ๆ บ้าง"
ลูกศิษย์ของพระเจ้าแผ่นดิน
กาณต์จีรา เล่าว่า เมื่อก่อนไม่เคยจดบันทึกความทรงจำในฐานะศิษย์เก่าโรงเรียนวังไกลกังวล แต่เนื่องด้วยได้ไปออกรายการโทรทัศน์ต่างๆ มีสื่อมวลชนจากหลายสำนักมาขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับการเป็นนักเรียนและได้ถวายงานรับใช้ในหลวงรัชกาลที่ 9
ทำให้เธอต้องจดบันทึกเพื่อย้อนดูว่าได้กล่าวสิ่งใดผิดพลาดไปบ้างจะได้นำมาแก้ไข หรือมีความตอนใดตกหล่นไม่ได้นำมาเล่าทั้งๆ ที่น่าสนใจ และอีกประการสำคัญในยามแก่เฒ่า ไม่แน่เธออาจจะหลงลืม การจดบันทึกไว้จะเป็นสมบัติล้ำค่าของตัวเองและของวงศ์ตระกูล
การเรียนการสอนในโรงเรียนวังไกลกังวล นอกจากเรียนกับคุณครูแล้ว ยังได้เรียนกับครูตู้ ซึ่งเป็นการสอนผ่านจอ นักเรียนร่วมเรียนไปพร้อมกันหลายแห่งทั่วประเทศ
บางครั้งห้องเรียนของเธอก็ถูกเลือกเป็นนักเรียนของครูตู้เสียเอง "ช่วงแรกๆ ไม่ค่อยชินที่เรียนไปมีกล้องมาจับแล้วถ่ายทอดสด บางทีเราก็ไม่กล้าที่จะถามคุณครู แต่พี่ๆ ทีมงานบอกให้ทำตัวปกติ อย่าเกร็ง พอผ่านไปนานๆ ก็ไม่รู้สึกแล้ว เรียนถามตอบได้ปกติ ลืมว่ามีกล้องอยู่"
อีกการเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต คือการได้ร่วม "รายการศึกษาทัศน์" ตั้งแต่ ม.1-6 เป็นรุ่นแรกของรายการ ซึ่งเป็นรายการที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 มีพระราชประสงค์ให้จัดทำขึ้น และออกอากาศผ่านระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ซึ่งเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียน
"หลังจากได้ทำรายการมีคนถามกันเยอะมาก ทำไมเราได้ถูกคัดเลือกให้ดำเนินรายการ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ต้องมีเส้นสายแน่ๆ ไม่ใช่เลยค่ะ แพรเป็นแค่เด็กนักเรียนธรรมดา ครอบครัวก็ฐานะปานกลาง กำพร้าพ่อตั้งแต่เด็ก วันนั้นมาโรงเรียนทำกิจกรรมดนตรีไทย พี่ทีมงานชวน"
ความคิดในวัยเยาว์ แค่ได้ทัศนศึกษานอกโรงเรียน ประหนึ่งท่องเที่ยวด้วยนั้น จะพลิกชีวิตของตัวเอง และจะได้มีโอกาสตามเสด็จฯ ในหลวง รัชกาลที่ 9
"คนอาจมองว่าโชคดีมาก แต่สำหรับหนูถือเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นมงคลชีวิตค่ะ ครั้งหนึ่งในชีวิตได้เป็นลูกศิษย์ของพระเจ้าแผ่นดิน"
กาณต์จีราเล่าย้อนเหตุการณ์ที่มิอาจลืม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็น "ครู" สอนกาณต์จีราและเพื่อนๆ
"ตอนแรกที่ถ่ายทำชื่อ น้ำพระทัยจากในหลวง เกี่ยวกับฝนหลวง คุณครูพาไปพบวิทยากร เรานักเรียน 4 คน ก็ถามมีสคริปต์ให้ เทปแรกๆ ก็เกร็งๆ แต่ทำไปนานๆ ก็ถามเองตามความสนใจของเราได้"
ความทรงจำจากครั้งแรกนี้เองที่กาณต์ จีราบอกว่า แม้จะเล่าเป็นพันๆ ครั้งก็ไม่เบื่อและอยากจะเล่า พลาดไม่ได้เด็ดขาด คือ การเล่นดรายไอซ์ตามประสาเด็กที่รู้สึกสนุกเวลาเห็นควันพวยพุ่ง หากแต่พี่ๆ ทีมงานได้บันทึกเทปไว้ และในหลวงทอดพระเนตร
"ผ่านมาเกือบ 3 ปี ได้ตามเสด็จฯ ที่ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง (30 ต.ค. 2544) เรื่องฝนหลวง พระองค์ทรงจำได้ และบอกว่าเล่นดรายไอซ์อันตราย ซึ่งพี่ทีมงานก็บอกแล้วว่า ทุกเทปจะส่งให้พระองค์ตรวจสอบ พระองค์เปรียบเป็นโปรดิวเซอร์ของรายการ"
ณ โครงการอ่างเก็บน้ำเขาเต่า (6 ต.ค. 2544) สถานที่แรกที่เธอได้ตามเสด็จฯ "รู้ตัวล่วงหน้าวันเดียวว่ามีครูพิเศษมาสอน คือ ในหลวง ตอนนั้นกังวลมาก แม่ก็ช่วยหาเสื้อผ้าชุดใหม่ ดูสะอาดที่สุด คือรู้ตัวเย็นแล้วค่ะ ถ้ามีเวลาหนูก็อยากซื้อใหม่ แต่ตอนนั้นไม่ทันจริงๆ"
พอถึงวันเนื้อตัวเย็นเฉียบ ในใจท่องคำราชาศัพท์เพราะเกรงใช้ผิด ยืนตัวเกร็งไม่กระดุกกระดิกอย่างเคย
"ได้ไปชมการสาธิตการบำบัดน้ำในตู้บำบัดน้ำ ในการทดสอบคือปล่อยปลาทองที่ไวต่อน้ำลงในบ่อที่ได้รับการบำบัดระยะแรก
ปลาทองกระโดดตกลงมาหน้าพระพักตร์ เรายังตกใจอยู่ ได้ยินเสียงพระองค์บอกว่า ช่วยชีวิตปลาด่วน เราก็ลุ้นพี่ก็ช่วยกัน ปลารอดค่ะ"
ยังมีเหตุการณ์ที่เป็นการน้อมนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตกระทั่งปัจจุบัน "ท่านทอดพระเนตรเห็นเด็กๆ ถือสมุดจด พอจะเสด็จฯ กลับท่านก็บอกว่า ที่เห็นจดๆ ต้องจำ ไม่ใช่ไม่จดแต่ไม่จำไม่เกิดประโยชน์ ให้ทำความเข้าใจที่เราจดด้วยแล้วเราก็ตอบพร้อมกัน เพคะ" กราบฉลองพระบาท
แม้จะเล่าเหตุการณ์ตอนตามเสด็จฯ อยู่หลายครั้ง แต่กาณต์จีราก็จะนึกเรื่องใหม่ๆ ได้อยู่เสมอนั้น เพราะมีความทรงจำที่ประทับใจ สูงสุดหลายสิ่ง
"พี่ทีมงานบอกว่า พยายามให้พระสุรเสียงของท่านเข้าไวร์เลสหนูด้วย เผื่อของพระองค์เสียจะได้มีสำรอง แล้วตอนที่จะเสด็จฯ กลับ หนูยืนแถวหน้าก็พยายามยืนตรงท่าน แล้วตอนก้มกราบก็กราบไปที่ฉลองพระบาทแล้วเอามือมาลูบหัว ไม่ได้เงยหน้าสบตา หนูคิดแค่ว่าเป็นจังหวะที่ดีครั้งแรกในชีวิต ไม่รู้ว่าจะมีครั้งที่สองที่สามอีกไหม"
หรือพระอารมณ์ขันที่พระองค์ตรัสกับทีมงานว่า "ให้ปิดรายการด้วยไหม" นั้นแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทอดพระเนตรทุกเทปรายการจริงๆ
มีครั้งหนึ่งทรงถามว่า "รู้ไหมว่า ฝ.ล. (ชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อของข้าราชบริพาร) ย่อมาจากอะไร"
นักเรียนตอบพร้อมกันว่า "ฝนหลวงเพคะ"
พระองค์ก็ตรัสว่า "ย่อมาจากฝูงลิง" ซึ่งช่วยลดความเกร็งให้แก่เด็กๆ ได้
พระองค์ทรงมีพระเมตตามาก "พี่ทีมงานเล่าให้ฟัง มีตอนหนึ่งกล้องจับภาพนักเรียนในรถชมวิวข้างทาง แล้วกล้องจับไปที่ประตูรถไม่ได้ลงกลอน ภาพนั้นเพียงวินาทีเดียวเอง ท่านทรงเรียกทีมงานไปเตือนว่า อย่าลืมล็อกประตูรถทุกครั้ง จะเป็นอันตรายต่อเด็ก"
การตามเสด็จฯ ครั้งที่ 3 คือ พื้นที่ป่าชายเลนเขตป่าสงวนแห่งชาติคลองเก่า-คลองคอย (16 พ.ย. 2545)
"ยุงตัวใหญ่กัดเจ็บมาก ทางเดินก็เป็น กรวด เวลาคุกเข่าหัวเข่าเป็นรอยบุ๋มเต็มไปหมด แต่ตอนนั้นเราลืมความเจ็บความเหนื่อย โฟกัสไปที่พระองค์ เพราะเราเดินไปไหนท่านก็ไปเหมือนกัน โดนยุงกัดเหมือนกัน มองดูจากด้านหลังเสื้อท่านก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ"
ครั้งที่ 4 โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา สิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย (15 ก.ค. 2557) "มีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตามเสด็จด้วย ตอนนี้อยู่ ม.6 แล้ว คิดว่าเป็นครั้งสุดท้ายแน่ๆ
ขณะรอกราบส่งเสด็จ สมเด็จพระเทพฯ กราบทูลในหลวงว่า เด็กกลุ่มนี้ตามเสด็จตั้งแต่เด็กๆ บัดนี้กำลังจะจบ ม.6
ในหลวงก็ทรงมีพระอารมณ์ขันตรัสว่า นึกว่าจบมานานแล้ว ถ้ามีตามเสด็จอีกให้ปลอมตัวเป็นนักเรียนมาใหม่"
กาณต์จีรา เล่าด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา และในครานั้นยังมีเหตุการณ์สำคัญ คือ "พระองค์เดินไปที่รถยนต์พระที่นั่งยกกล้องมา เรียกเด็กที่ตามเสด็จตั้งแต่เด็กจนจะจบ ม.6 มาถ่ายรูป ซึ่งวันนั้นมี 2 คน แพรกับเพื่อน ตอนนั้นเพิ่งเข้าใจว่าคนดีใจจนร้องไห้เป็นยังไง"
สานต่อพระราชปณิธาน
หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนวังไกลกังวล กาณต์จีราได้รับทุนพระราชทาน มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ จนจบระดับปริญญาโท และทำการที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ทันที
"ได้เข้าเฝ้าฯ ครั้งสุดท้ายตอนเรียนจบปริญญาตรี (พ.ศ. 2552) ท่านเสด็จฯ มาทอดพระเนตรแข่งเรือที่เขาเต่า แพรเป็นคนกล่าวถวายรายงาน ข้าพเจ้าอดีตนักเรียนโรงเรียนวังไกลกังวล ได้เคยตามเสด็จในรายการศึกษาทัศน์ ตอนนี้ศึกษาจบปริญญาตรีและทำงานที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ...
ท่านก็ตรัสถามว่า สบายดีไหม แพรตอบ สบายดีเพคะ"
จากนั้นเธอก้มลงกราบพระบาท แต่คราวนี้ไม่โดนฉลองพระบาท และไม่ลืมเอามือลูบศีรษะเป็นมงคลชีวิตอีกครั้ง
"ทุนไม่มีสัญญาว่าต้องกลับมาทำงานชดใช้ แต่เรารู้สึกว่าเราได้รับพระมหากรุณาธิคุณตั้งแต่เด็ก เมื่อเรามีโอกาสได้อยู่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ที่พระองค์พระราชทานกำเนิด เพื่อพระราชทานความห่วงใยให้แก่ผู้ประสบภัย อย่างน้อยเราได้สานต่อพระราชปณิธานของพระองค์
เวลาไปออกพื้นที่ประสบภัย เราเหมือนได้นำความห่วงใยของพระองค์ไปมอบให้ประชาชน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ถุงสีเขียวคือถุงยังชีพ พระราชทานเป็นกำลังใจจากพระราชา
มีเหตุการณ์น้ำท่วมตอนปี 2554 มีพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไม่มีใครไปถึง น้ำท่วมมิดชั้นหนึ่ง เราแล่นเรือไปประกาศให้ชาวบ้านรู้ มี คุณยายเปิดหน้าต่างจากชั้น 2
แพรบอกคุณยายนำถุงพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาให้ แล้วมีพระรูปให้ด้วย แพรจำความรู้สึกนั้นได้ คุณยายจับพระรูปยกมือไหว้ท่วมหัว เหมือนรอใครสักคนมาถึง ไม่มีหน่วยงานไหนมาถึง แต่ถุงจากพระราชามาถึง
ในการทำงานจุดนี้แพรรู้สึกว่าได้เป็นผู้รับด้วย เวลาลงพื้นที่เอาสิ่งของไปแจก เหมือนเรานำความห่วงใยของพระราชาไปให้เขา ได้เห็นรอยยิ้มของประชาชนที่มีความทุกข์ แต่เขามีความสุขเมื่อได้รับของพระราชทาน
จุดนี้เราได้ทำงาน ได้เอาของล้ำค่า ไปเยียวยาความรู้สึกสูญเสีย เรานำกำลังใจไปให้ บางคนเป็นผู้บริจาคเงินให้มูลนิธิ พอเขากลายเป็นผู้ประสบภัย เขาไม่คิดว่าเขาจะได้รับกลับคืน"
ทุกวันนี้สิ่งที่กาณต์จีรายึดเป็นหลักในการดำเนินชีวิตคือ "แพรได้เห็นพระองค์ทรงงานหนัก เวลาที่รู้สึกท้อ เดินทางไกลยากลำบาก เราเหนื่อยแค่นี้ยังไม่เท่าเศษเสี้ยวของสิ่งที่พระองค์ทำ"
เหมือนพระราชดำรัสของพระองค์ "ทำงานกับฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่ได้ทำกับผู้อื่น"
สิ่งนี้กาณต์จีราได้ตระหนักแล้ว


