เนตรอำไพ สาระโกเศศ การทำอาหารคือการให้ที่แสนสุขใจ
เมื่อค้นพบแล้วว่า ดัชนีความสุขของตัวเองมีอาหารเป็นส่วนประกอบ เมื่อโอกาสมาถึง เชฟเนตรก็พร้อมทำตามความฝันเพื่อค้นหาความสุขให้กับชีวิต
กระทั่งได้ทำความรู้จักกับธุรกิจอาหาร จากการไปทำงานในร้านอาหารไทยในต่างแดนระหว่างเรียน แม้ตัดสินใจกลับมาเมืองไทย เชฟเนตร-เนตรอำไพ สาระโกเศศ ก็ยังไม่ได้มีภาพในหัวชัดเจนว่าจะกลับมาทำงานในสายอาหาร จึงเลือกต่อยอดในสายวิชาชีพที่เรียนมา ด้วยการไปทำงานเป็นโปรเจกต์แมนเนเจอร์ และครีเอทีฟพักใหญ่ ก่อนจะลงขันกับหุ้นส่วนเพื่อเปิดบริษัทโปรดักชั่น ประชาสัมพันธ์ และอีเวนต์
“ตอนที่ไปเรียนต่อได้มีโอกาสไปทำงานที่ร้านอาหารไทย ช่วงนั้นจะถือว่าเป็นประสบการณ์ที่สุดของชีวิตครั้งหนึ่งก็ว่าได้ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ได้ลดตัวตน (อัตตา) ของตัวเองลงไป เพราะอยู่ที่นู่นต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่เสิร์ฟอาหาร หรือแม้แต่ทำความสะอาด ถึงจะบอกตัวเองว่าชีวิตในเวลานั้นเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุด แต่พอมองย้อนกลับไป กลับทำให้เราเข้มแข็ง อดทน และเผชิญกับแรงกดดันต่างๆ ได้ดีขึ้น เรามักบอกกับตัวเองได้ว่า แม้แต่ช่วงที่คิดว่าตกต่ำที่สุดในชีวิตก็ยังผ่านมาได้ เพราะฉะนั้นจากนี้ก็ไม่มีความตกต่ำอะไรที่เราจะผ่านไปไม่ได้”
เชฟเนตร ยังย้อนวันวานที่ครบรสต่อว่า ช่วงที่อยู่ที่อเมริกา พอได้ข่าวว่าเลอ กอร์ดอง เบลอ มาเปิดที่ชิคาโก ก็ตัดสินไปลงเรียนทันที เพราะมีแพสชั่นเรื่องการทำอาหารอยู่แล้ว แน่นอนว่า นิยามความสุขที่ได้รับจากการทำอาหารของเชฟแต่ละคนอาจจะต่างกัน แต่สำหรับเชฟเนตร การทำอาหารทำให้มีสติ รู้สึกสงบ และมีความสุข
“ฟังดูเหมือนเว่อร์ แต่แค่ทำอาหารออกมาหน้าตาน่ากินก็สุขแล้ว นอกจากนี้ยังได้สุขจากการให้ เพราะเชฟอย่างเราทำอาหารเต็มที่ก็เพื่อให้คนอื่นได้กินดีๆ”
“เราเริ่มต้นจากการเปิดสอนทำอาหาร ปรากฏว่าคนที่มาเรียนชอบ เลยยุให้เปิดร้านอาหาร เลยกลายเป็นที่มาของการเปิดร้านทริปเพล็ตส์ บิสโทร (Triplets Bistro) ที่ทองหล่อ ปรากฏว่าขายดี เลยคิดว่าต้องขยับขยาย ตัดสินใจย้ายร้านมาอยู่ที่หลังสวน เปลี่ยนชื่อเป็น ทริปเพล็ตส์ แบรสเซอรี (Triplets Brasserie) ที่เลือกชื่อว่า Triplets หรือแฝดสาม เพราะเป็นตัวแทนที่สื่อถึงตัวเรา แฟน และบาร์บี้ สุนัขแสนรัก
ทว่า หลังจากทำร้านอาหารได้สักระยะ ปรากฏว่า เจ้าบาร์บี้ตาย เลยตัดสินใจปิดร้าน เพราะเวลาใครมาที่ร้านก็ถามถึงบาร์บี้ ตอนนั้นเลยเฟดตัวเองมาเป็นที่ปรึกษาสำหรับคนที่อยากเปิดร้านอาหาร พร้อมกับเปิดโรงเรียนสอนทำอาหารภายใต้ชื่อ ทริปเพล็ตส์ คุกกิ้ง สตูดิโอ (Triplets Cooking Studio) สอนทำอาหารแบบไพรเวท โดยเราหวังว่าความรู้ที่เราตั้งใจถ่ายทอดให้คนอื่น จะส่งผลไปถึงเจ้าบาร์บี้”
ปัจจุบัน เชฟเนตรยังสวมบทเป็นเอ็กเซ็กคิวทีฟให้กับร้านรอย บิสโทร บาย เล่นเส้น (Roi Bistro by Lenzen) และร้านทูดาริ (Tudari) ควบคู่ไปกับการทำงานจิตอาสาตามกำลังที่ทำได้
หนึ่งในการทำงานจิตอาสาที่เชฟเนตรภาคภูมิใจ คือ เมื่อครั้งได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน “งานชม-ชิม 9 เมนูโปรดเพื่อความพอเพียง” พร้อมจัดสาธิตเมนูพระกระยาหารโปรด เพื่อให้ประชาชนนำไปเป็นตัวอย่างในการกินอยู่อย่างพอเพียง เรียนรู้การดำรงชีวิตที่เรียบง่ายตามแบบพระองค์
“ตอนนั้นเราได้ร่วมสาธิตเมนูสปาเกตตี มิลานเนส ซึ่งเป็นเมนูอาหารฝรั่งเพียงไม่กี่เมนูที่เลือกมา เมนูนี้พระองค์ท่านมักเสวยในช่วงบ่าย เพราะเป็นสปาเกตตีซอสผักที่อุดมไปด้วยผักนานาชนิด โดยเฉพาะมะเขือเทศ ที่มีสรรพคุณช่วยให้สดชื่นระหว่างวัน”
เชฟเนตรกล่าวทิ้งท้ายอย่างจับใจว่า การใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ นอกจากจะมีครอบครัวเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว ยังมีในหลวงรัชกาลที่ 9 ของปวงไทย
“หลายครั้งที่ฝรั่งชอบถามว่า ทำไมคนไทยถึงรักพระองค์ ทุกครั้งที่ตอบ เราก็น้ำตาไหล พระองค์ทำให้เรารู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่เกิดเป็นคนไทย สิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อพสกนิกรไทยนั้น ถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตให้กับพวกเรา ทำให้เราอยากเป็นส่วนเล็กๆ ที่ได้ช่วยสังคม เราจะบอกกับตัวเองเสมอเวลาทำงานจิตอาสาว่า ต้องทำตัวให้เล็กที่สุด เมื่อนั้นเราจะช่วยคนได้มาก” &O5532;


