คติความเชื่อและอุดมคติ สถาปัตยกรรมเนื่องในพระราชพิธีพระบรมศพ
การจัดสร้างพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
โดย พรเทพ เฮง
การจัดสร้างพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยภาพรวมองค์พระเมรุมาศเสร็จเกือบสมบูรณ์แบบแล้ว 100% เพื่อใช้ในพระราชพิธีปลายเดือน ต.ค.นี้
พระเมรุมาศครั้งนี้ได้รับการกล่าวถึงรูปแบบสถาปัตยกรรมมีลักษณะพิเศษ แสดงศิลปกรรมที่รุ่มรวยและเต็มไปด้วยความหมาย เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำเทคโนโลยีหรือว่าเทคนิควิธีการสร้างภาพจำลอง 3 มิติ เพื่อใช้ในการตรวจสอบในเรื่องของรูปแบบ ผัง และการประดับตกแต่งงานพระเมรุมาศ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ใช้ในการทำงานของสถาปนิกผู้ออกแบบ และใช้ในการตรวจสอบงานก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมด้วย รวมทั้งส่วนหนึ่งในการถวายรายงานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นประธานในการก่อสร้างพระเมรุมาศ
จากกิจกรรมพิพิธภัณฑ์เสวนา ประจำปี 2560 ครั้งที่ 4 เรื่อง "สถาปัตยกรรมเนื่องในพระราชพิธีพระบรมศพ" ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จึงเป็นคำตอบและองค์ความรู้ที่ผสมผสานระหว่างของเก่าและของที่รังสรรค์ขึ้นมาใหม่ในรูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมในรัชกาลที่ 9
พระเมรุมาศ เทวราชา พระโพธิสัตว์-พระอนาคตพุทธเจ้า
ความเป็นมาของพระเมรุมาศและการออกพระเมรุมาศ ที่บริเวณท้องสนามหลวงใจกลางเมือง คติความเชื่อระบบและวิธีคิดของคนในสมัยโบราณ มีความคิดอย่างไรที่จัดให้มีพระราชพิธี ซึ่งถือได้ว่ามีความยิ่งใหญ่ และมีหลงเหลือในพระราชธรรมเนียมอยู่ไม่กี่ชาติในโลกนี้ และได้ส่งต่อมาถึงปัจจุบันนี้
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สันติ เล็กสุขุม นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ ได้นำเสนอมุมมองเรื่อง “พระเมรุมาศ เทวราชา พระโพธิสัตว์-พระอนาคตพุทธเจ้า” ว่า ที่จริงเรื่องคติความเชื่อเกี่ยวกับพระเมรุ เป็นการทำความเข้าใจสิ่งที่สืบทอดมาแต่โบราณ เป็นเรื่องของอุดมคติ ซึ่งส่วนใหญ่ข้อมูลได้มาจากหนังสือพลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ หรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ รวมถึงหนังสือเก่าที่เป็นพระราชพงศาวดารบ้าง เป็นเรื่องไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ซึ่งรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้แปลไว้
สำหรับพระเมรุมาศสำหรับพิธีถวายเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ด้วยฐานันดรสูงสุด เรียกอย่างสามัญว่า ปราสาทยอด (เรียกตามศัพท์ว่า กูฏาคาร) พระเมรุมาศแวดล้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างบริวาร เปรียบกับวัดไชยวัฒนาราม พระนครศรีอยุธยา วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาช่วงปลาย รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โดยมีเจดีย์ทรงปรางค์เป็นประธานของวัด เสมือนเป็นพระเมรุมาศ เทียบกับภูเขาพระสุเมรุ มีบริเวณกั้นรอบขอบเขตด้วยระเบียงคด คดคือมุมทั้งสี่ของระเบียง ก่อแทรกไว้ด้วยเมรุ เรียกว่าเมรุประจำมุม ตอนกลางของระเบียงทั้งสี่ด้าน แทรกด้วยเมรุประจำทิศเมรุทั้งแปด เสมือนภูเขาสัตตบริภัณฑ์เป็นบริวาร ล้อมรอบภูเขาพระสุเมรุ แม้ภายหลังก่อสร้างโดยไม่มีบริวาร ก็ยังเรียกว่าเมรุอยู่นั่นเอง โดยกลายมาเป็นเมรุเผาศพ
“กรมพระยานริศฯ เปรียบเทียบพระเมรุมาว่า เหมือนวัดไชยวัฒนารามที่กรุงศรีอยุธยา พระปรางค์เป็นประธานเปรียบเทียบเป็นพระเมรุมาศ ลดหลั่นด้วยภูเขาวงแหวนทั้งเจ็ด เรื่องของอุดมคติและคำพูดเป็นเรื่องของความคิด แต่เมื่อไหร่ที่ช่างถ่ายทอดออกมาเป็นสถาปัตยกรรมจะกินระวางพื้นที่ ฉะนั้นทุกอย่างต้องปรับตามภูมิปัญญาช่างที่พยายามจะอิงกับคติความเชื่อตามที่ตัวเองถ่ายทอดออกมา รูปแบบทางสถาปัตยกรรมจะเหมือนกับรูปแบบตามอุดมคติเลยก็ไม่ได้เกี่ยวข้องในความพยายามสื่อสารด้วยเทคนิคคนละอย่างกัน”
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สันติ ขยายความต่อว่า เทวราชา สมมติเทวราชาโลกทัศน์ไทยโบราณ ปรากฏอยู่ในหนังสือ ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) เรียบเรียงไว้เมื่อปี 2345 มีที่กล่าวถึงภูเขาพระสุเมรุคือแกนของจักรวาล สูงพ้นน้ำ 84,000 โยชน์ (1 โยชน์ เท่ากับ 16 กิโลเมตร) ภูเขาพระสุเมรุ จึงสูง 1,344,000 กิโลเมตร
ศูนย์กลางจักรวาลอยู่บนยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้ คือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่ประทับของเทวราชา-พระอินทร์ คติสมมติเทวราชาของไทย นอกจากเทียบกับพระมหากษัตริย์กับพระนารายณ์แล้ว ยังเทียบกับพระอินทร์ ซึ่งอุปถัมภ์ค้ำจุนพุทธศาสนา ตรงกับพระราชภารกิจหลักของพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเช่นสมมติเทวราชา ประทับ ณ ศูนย์กลางพระราชอาณาจักรของพระองค์ เสมือนประทับ ณ ศูนย์กลางจักรวาลบนสวรรค์ดาวดึงส์
คำกล่าวที่ว่า ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย คงหมายถึงส่งเสด็จสวรรค์ดาวดึงส์ ซึ่งอยู่บนยอดภูเขาพระสุเมรุ โดยจำลองเป็นพระเมรุมาศ หลังถวายเพลิงพระบรมศพ พระอินทร์อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธองค์ขึ้นไปประดิษฐานในเจดีย์จุฬามณี บนสวรรค์ดาวดึงส์
สวรรค์ดุสิต ที่สถิตของพระโพธิสัตว์คติที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงเสมือนพระโพธิสัตว์ (ความหมายเดียวกับเสมือนพระอนาคตพุทธเจ้า) มีหลักฐานมาแล้วในสมัยสุโขทัย พบในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง คราวที่พญาลิไททรงผนวช พระองค์ทรงอธิษฐานว่า “...อาตมาอยากขอมอบอาตมาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า...” คำเรียกแทนตัวเรา เมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์พระมหากษัตริย์ว่า ข้าพระพุทธเจ้า คงมีมาอย่างช้าก็ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และสืบมาในสมัยปัจจุบันด้วย
“ในไตรภูมิโลกวินิจฉยกถาที่รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้แปลมา จินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ ยอดเขาพระสุเมรุคือสวรรค์ดาวดึงส์ เป็นที่ประทับของพระราชา คือพระอินทร์ เราเชื่อกันว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเรา ตอนนี้เสด็จไปประทับอยู่สวรรค์ดาวดึงส์แล้ว แต่พอขึ้นไปผ่านสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นพรหมโลกตามที่ระบุในไตรภูมิโลกวินิจฉยกถาเป็นที่สถิตของพระโพธิสัตว์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พุทธบิดา พุทธมารดา หรือบรรดาที่มีวาสนาบารมีมาก พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ฉะนั้นถ้าตามอุดมคติแล้ว สมเด็จย่าสถิตอยู่บนนั้น”
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สันติ บอกต่อว่า ในรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์ประจำรัชกาลที่ 1 และประจำรัชกาลที่ 2 ประดิษฐานไว้ภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง ถวายพระนามองค์ประจำรัชกาลที่ 1 ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระนามประจำรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าสุราลัย ภายหลังเปลี่ยนในรัชกาลที่ 4 เป็นพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงกล่าวได้ว่าคติโบราณของไทยเทียบพระมหากษัตริย์เมื่อมีพระชนม์ชีพทรงเสมือนเป็นพระโพธิสัตว์ เมื่อเสด็จสวรรคตก็จะเสด็จสู่สวรรคาลัย เพื่อรอเสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ระบุว่า สวรรค์ชั้นดุสิตเป็นที่สถิตของพระโพธิสัตว์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พุทธบิดา พุทธมารดา หรือบรรดาที่มีวาสนาบารมีมาก เช่น พระบรมวงศ์ชั้นสูง หลังเสด็จสวรรคตพระมหากษัตริย์ด้วยสถานะแห่งพระโพธิสัตว์ พระองค์จึงสถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นนี้อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์ดาวดึงส์ ผ่านสวรรค์ชั้นยามา จึงขึ้นถึงสวรรค์ดุสิต นับเป็นสวรรค์ชั้นที่สี่ในบรรดาสวรรค์ทั้งหมดหกชั้น
“พระมหากษัตริย์ทรงมีฐานะเป็นสมติเทพ คือพระนารายณ์ อย่างพระนารายณ์ทรงครุฑก็เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ แต่มีอีกสมมติเทพหนึ่งที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในสถานะนั้น คือเทวราชาสถิตอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าเทียบแล้วคือพระอินทร์ ซึ่งทรงสนับสนุนพุทธศาสนามาโดยตลอด พระมหากษัตริย์ก็ทรงอุปถัมภ์พุทธศาสนาเช่นกัน
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพและเป็นสมมติพุทธเจ้าด้วย ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย จารึกวัดป่ามะม่วง ได้ระบุไว้ชัดเมื่อคราวที่พระมหาธรรมราชาที่ 1 พญาลิไท ทรงผนวช และให้ทรงจารึกบอกว่า ที่ผนวชไม่ได้ปรารถนาสมบัติอินทร์ สมบัติพรหมอะไรทั้งนั้น ปรารถนาที่ชาติหน้าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ในเขมรสมัยนครวัด พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก็ได้ระบุไว้ชัด ต้องการเป็นพระโพธิสัตว์ ความเจ็บปวดของพสกนิกรของพระองค์ก็คือความเจ็บปวดของพระองค์ พระโพธิสัตว์หมายถึงบุคคลที่ถึงพร้อมแล้วที่ตรัสรู้ แต่ไม่ตรัสรู้ หากถือตามคติมหายานก็เพื่อรั้งรอที่จะช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นวัฏสงสาร มีพระมหากรุณามากมาย จึงไม่ยอมตรัสรู้ ดำรงอยู่ในสถานะพระโพธิสัตว์” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สันติ ขมวดความคิดโดยรวม
เมื่อเชื่อมโยงคติเรื่องสวรรค์ชั้นดุสิตกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ให้ประเด็นคิดดังนี้ พระราชวังโบราณในพระนครศรีอยุธยานี ราชธานีเก่า มีพระมหาปราสาทสำคัญห้าองค์ องค์ที่ชื่อพระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์ เคยเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปัจจุบันชำรุดเหลือซากเพียงเล็กน้อย แต่ยังมีเค้าว่าเป็นพระใต้ถุนสูง หรือพระที่นั่งสองชั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้อิงแบบมาสร้างในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานนามพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เมื่อปี 2332
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จออกว่าราชการที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และเสด็จไปประทับ ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา ระหว่างรอการก่อสร้างหมู่พระมหามณเฑียร ในรัชกาลของพระองค์ เมื่อพระบรมวงศ์ชั้นสูงบางพระองค์สิ้นพระชนม์ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกสวรรคต ก็อัญเชิญพระบรมศพมาประดิษฐาน ต่อมาจึงเป็นธรรมเนียมที่จะประดิษฐานพระบรมศพของพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อๆ มาที่พระที่นั่งองค์นี้ รวมทั้งสมเด็จพระอัครมเหสี และบางโอกาสก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ตั้งพระศพพระบรมวงศ์ชั้นสูงบางพระองค์ คติโบราณจึงย่อมมีด้วยว่า เมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จสวรรคต พระองค์เสด็จขึ้นไปสถิต ณ สวรรค์ดุสิตอันเป็นที่สุด ซึ่งศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สันติ แจกแจงว่า
“พุทธศาสนาหินยานที่เราคุ้นเคยพระโพธิสัตว์ได้แก่นิทานชาดกต่างๆ ซึ่งตัวเอกคือพระโพธิสัตว์ทั้งนั้น และเป็นอดีตชาติของพระพุทธเจ้า เจดีย์จุฬามณีถ้าตามอุดมคติพุทธศาสนาถือเป็นเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เป็นมหาธาตุเจดีย์องค์แรกในพุทธศาสนา
สรุป พระพุทธเจ้านั้นนอกจากเป็นเทวราชาแล้ว เสมือนกับเป็นพระอินทร์ แล้วพระบรมอัฐิของพระองค์ก็อยู่ในชั้นดาวดึงส์ด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าในความเชื่อที่ว่าพระมหากษัตริย์เป็นเทวราชา เป็นพระโพธิสัตว์ เมื่อสวรรคตแล้วไปสถิตอยู่ที่เขาพระสุเมรุ ด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้างพระเมรุมาศ ซึ่งเป็นตามคติความเชื่อทุกอย่าง แต่จะมีเพิ่มเติมคือสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นพรหมโลก ซึ่งอยู่สูงกว่าเทวโลก คือสวรรค์ดาวดึงส์
สวรรค์ชั้นดุสิตตรงกับชื่อพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มีความเป็นไปได้ว่ารัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างและพระราชทานนามโดยมีความหมายสำคัญตรงที่เมื่อสร้างแล้วพระองค์ทรงประทับอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไปประทับที่อื่น และให้เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมศพของพระราชวงศ์ชั้นสูง
รวมถึงเมื่อพระองค์สวรรคตก็ให้ประดิษฐานที่พระที่นั่งดุสิตฯ และเป็นพระราชประเพณีตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งตรงกับไตรภูมิโลกวินิจฉยกถาที่บอกว่า ที่ประทับของพระมหากษัตริย์หลังจากสวรรคตแล้ว ในเบื้องต้นคือถวายพระเพลิงพระบรมศพที่ยอดเขาพระสุเมรุ คือพระเมรุมาศ จากนั้นเสด็จไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงดำรงสถานะเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อที่จะรอมาเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อตรัสรู้บนโลกใบนี้ ตรงนี้เป็นเรื่องของอุดมคติ
นอกจากที่เราเชื่อกันว่าพระมหากษัตริย์ของเราหลังจากสวรรคตไปประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ในที่สุดพระองค์ก็ไปเป็นพระโพธิสัตว์บนชั้นพรหมโลก คือสวรรค์ชั้นดุสิต”
พระเมรุมาศทรงบุษบกเก้ายอด
ศิลปินแห่งชาติ พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญด้านออกแบบสถาปัตยกรรมไทย ผู้เคยออกแบบพระเมรุในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพมาแล้ว 3 พระเมรุ ได้เคยกล่าวไว้ว่า
“พระเมรุมาศ พระเมรุ เป็นงานสถาปัตยกรรมที่แสดงภูมิปัญญาช่างชั้นสูง เป็นที่ยกย่องมาแต่โบราณว่า ผู้ใดก็ตามที่ออกแบบสร้างสรรค์พระเมรุมาศ พระเมรุ ถือว่าเป็นผู้รอบรู้เจนจบในงานศิลปกรรมของชาติ เพราะได้รวบรวมงานช่างศิลปะทุกประเภทไว้พร้อมสรรพ”
แบบพระเมรุมาศ งานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 หลังจากที่กรมศิลปากรรับผิดชอบการออกแบบ โดยใช้เวลาประมาณเดือนเศษนับแต่วันเสด็จสวรรคต ผ่านการเสนอคณะรัฐมนตรี และผ่านการทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อทรงพระวินิจฉัย แล้วสรุปรูปแบบพระเมรุมาศที่ดำเนินการก่อสร้างในครั้งนี้เป็นรูปทรงบุษบกตามแบบตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่พระเมรุมาศครั้งนี้มี 9 ยอด ยิ่งใหญ่โอฬารกว่าที่ผ่านมา
การออกแบบครั้งนี้ได้กำหนดกรอบแนวคิดตามอย่างโบราณราชประเพณีไว้ 3 ประการ คือ
1.ต้องสมพระเกียรติ เพราะครั้งนี้เป็นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์ครั้งล่าสุดคือ เมื่อเดือน มี.ค. 2493 คือพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และตลอดรัชสมัยที่ผ่านมาก็มีเพียงงานพระเมรุของสมเด็จพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่
2.ออกแบบตามหลักราชประเพณีโบราณ โดยยึดแบบสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะแบบของสมัยอยุธยานั้นไม่มีรูปแบบที่เป็นหลักฐาน จึงดูแบบพระเมรุมาศของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8
3.การออกแบบครั้งนี้ยึดหลักไตรภูมิตามคัมภีร์พระพุทธศาสนาและความเชื่อว่า พระมหากษัตริย์คือสมมติเทพตามระบบเทวนิยม ซึ่งจาก 3 แนวคิดหลักนี้ได้ปรากฏเป็นแบบพระเมรุมาศในครั้งนี้ คือ แบบทรงยอดบุษบก องค์หลักจะอยู่กึ่งกลาง อันหมายถึงเขาพระสุเมรุ อีก 8 มณฑปที่อยู่รายรอบนั้น หมายถึงเขาสัตตบริภัณฑ์ อันหมายถึงระบบจักรวาล
สำหรับในส่วนงานสถาปัตยกรรมที่ต้องก่อสร้างอาคารแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มอาคารในมณฑลพิธี ณ ท้องสนามหลวง ประกอบด้วย พระเมรุมาศ เป็นประธานในมณฑลพิธี ออกแบบโดยยึดถือคติตามโบราณราชประเพณีรูปแบบเฉพาะสำหรับพระมหากษัตริย์ เป็นพระเมรุมาศทรงบุษบก สูงถึง 50.49 เมตร มีชั้นเชิงกลอน 7 ชั้น ผังพื้นที่ใช้งานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ 60 เมตร มีบันไดทั้งสี่ด้าน ฐานยกพื้นสูงมี 7 ชั้น ชั้นบนที่มุมทั้งสี่ ประกอบด้วยสำซ่างทรงบุษบก ชั้นเชิงกลอน 5 ชั้น สำหรับพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม ฐานชั้นที่ 2 ประกอบด้วยซุ้มทรงบุษบกรูปแบบเดียวกัน รวมสิ่งก่อสร้างมีเครื่องยอดนับรวมได้ 9 ยอด
พระที่นั่งทรงธรรม เป็นอาคารชั้นเดียวยกฐานสูงขนาด 44.50 เมตร ยาว 155 เมตร ตั้งอยู่กึ่งกลางด้านทิศตะวันตกของพระเมรุมาศ สำหรับเป็นที่ประทับและบำเพ็ญพระราชกุศลในการพระราชพิธี และเป็นที่สำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เฝ้า โดยเตรียมพื้นที่สำหรับผู้เข้าร่วมพระราชพิธีประมาณ 2,800 ที่นั่ง ซึ่งเป็นพระที่นั่งที่มีขนาดใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพื่อรองรับพระราชอาคันตุกะและอาคันตุกะที่จะเดินทางมาร่วมพระราชพิธีจำนวนมาก
นอกจากนั้นยังมีศาลาลูกขุน เป็นที่เฝ้าของข้าราชการ ทับเกษตร ใช้เป็นที่สำหรับข้าราชการที่มาในพระราชพิธีพักและฟังสวดพระอภิธรรม และทิม สำหรับเจ้าพนักงาน พระสงฆ์ แพทย์หลวงพัก และใช้เป็นที่ตั้งเครื่องประโคมและทำเป็นห้องสุขา
2.กลุ่มอาคารนอกมณฑลพิธี ได้แก่ เกยลา บริเวณกำแพงแก้ว พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พลับพลาหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พลับพลาหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท และพลับพลายกหน้ามณฑลพิธีท้องสนามหลวง ส่วนลวดลายประกอบ ทั้งที่เป็นชั้นฐาน หรือประติมากรรมที่ประกอบในพระเมรุมาศ ทั้งหมดจะสะท้อนถึงเรื่องระบบจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะเป็นชั้นครุฑ ชั้นเทพ หรือเทวดา รวมถึงสัตว์หิมพานต์
นอกจากนี้ สิ่งที่เป็นพิเศษในครั้งนี้คือ เสาโคมจะใช้เป็นเสาครุฑ เพราะครุฑคือพาหนะของพระนารายณ์ โดยแนวคิดสมมติเทพนั้น พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งงานพระเมรุที่ผ่านมาล้วนเป็นเสาหงส์ สำหรับการออกแบบภูมิทัศน์จะมีการศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เช่น กังหันชัยพัฒนา เครื่องดันน้ำ การปลูกหญ้าแฝก ฯลฯ จะถูกนำมาใช้ในการออกแบบและปรับปรุงภูมิทัศน์ ด้านงานเรื่องศิลปกรรม ไม่ว่าจะเป็นเทพ เทวดา สัตว์หิมพานต์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะยึดตามคติความเชื่อของระบบจักรวาล อันเกี่ยวกับสมมติเทพทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามราชประเพณีที่มีมาตั้งแต่อดีต
พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ออกแบบโดย ก่อเกียรติ ทองผุด นายช่างศิลปกรรมชำนาญงาน กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม บอกว่า ส่วนของงานสถาปัตยกรรม หัวใจสำคัญของการออกแบบ และต้องมีความเสี่ยงเป็นศูนย์ การออกแบบพระเมรุมาศ ตนเองได้รับการถ่ายทอดจาก พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (ประยุกต์ศิลป์) สาขาย่อย สถาปัตยกรรม ประจำปี 2541
“การออกแบบพระเมรุมาศไม่สามารถคิดได้ก่อนเลยว่าแบบที่จะสร้างนั้นเป็นรูปแบบใด แต่รูปแบบสำหรับพระมหากษัตริย์ต้องเป็นทรงบุษบก เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 ช่วงบ่ายเวลา 15.00 น. กว่าๆ ท่านอธิบดีศิลปากรบอกว่าต้องเตรียมในเรื่องพระเมรุมาศ ทุกคนมีน้ำตากันหมด ผมศึกษาจากพระเมรุมาศจากอดีต ทั้งพระเมรุมาศของรัชกาลที่ 4 รัชกาล 5 และรัชกาลที่ 6 เมื่อสมเด็จครูกรมพระยานริศออกแบบพระเมรุมาศรัชกาลที่ 6 เป็นทรงบุษบก พระพรหมวิจิตร ออกแบบพระเมรุมาศรัชกาลที่ 8 ก็ออกแบบทรงบุษบก”
ก่อเกียรติ เล่าถึงเบื้องหลังการทูลเกล้าฯ ถวายแบบให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเลือกว่า
“การออกแบบต้องออกแบบ 2-3 แบบ ให้ทรงเลือก การไปกราบบังคมทูลของผมมี 3 แบบ และของเพื่อนที่ทำงานอีก 2 แบบ รวมอีก 5 แบบ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเลือกแบบของผม ซึ่งเป็นทรงบุษบก 9 ยอด ซึ่งออกแบบเพื่อประโยชน์ใช้สอย เป็นพระเมรุมาศที่เรียกว่าพระเมรุมาศเอกตามจำนวนยอด โดยใช้หลัก 3 ข้อ 1.สมพระเกียรติ สมเด็จครูตรัสว่า การออกแบบพระเมรุมาศใหญ่เท่าไหร่ สูงเท่าไหร่ ยิ่งถวายพระอิสริยยศมากขึ้นเท่านั้น พระเมรุมาศสูง 50.9 เมตร ใช้พื้นที่ได้เต็มสนามหลวงเต็มที่สุด 2 ใน 3 ของสนามหลวง งานพระเมรุมาศต้องแตกต่างและพิเศษจากแบบเดิมๆ เพื่อให้สมพระเกียรติมากที่สุด 2.ศึกษาประวัติศาสตร์ศิลป์พระเมรุมาศ และ 3.ศึกษาคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา"
จากการออกแบบพระเมรุมาศ ก่อเกียรติ ฉายภาพว่า ต้องนึกอยู่ประมาณ 4 ข้อ 1.ออกแบบเพื่อใคร 2.ทำให้ได้ 3.ทำให้ถูก และ 4.ทำให้เสร็จทันเวลา โดยรายละเอียดสถาปัตยกรรมพระเมรุมาศ ดังนี้
องค์พระเมรุมาศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระเมรุมาศทรงบุษบกเก้ายอดบนชั้นฐานชาลาย่อมุมไม้สิบสอง โครงสร้างภายในเป็นเหล็กแบบยึดด้วยนอต ฐานรากโครงสร้างแบบใช้พื้นดินรับน้ำหนักโดยไม่มีเสาเข็ม องค์พระเมรุมาศปิดผิวประดับด้วยไม้อัด กรุกระดาษทองย่นตกแต่งลวดลาย และเครื่องประกอบพระอิสริยยศ มีเทวดาเชิญฉัตรและบังแทรก มีองค์มหาเทพ 4 พระองค์ คือ พระพิฆเนศวร พระอินทร์ พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์ รายรอบพระเมรุมาศชั้นลานอุตราวรรตมีสระอโนดาตทั้งสี่ทิศ มีน้ำไหลจากสัตว์มงคลประจำทิศสู่สระอโนดาต ภายในสระประดับด้วยประติมากรรมสัตว์หิมพานต์
บุษบกประธานผังพื้นอาคารเป็นสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ชั้นฐานเป็นฐานสิงห์ เหนือฐานสิงห์เชิงบาตร ชั้นที่หนึ่งเป็นชั้นครุฑยุดนาค เชิงบาตรชั้นที่สองเป็นชั้นเทพพนม เครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนเจ็ดชั้น บนยอดสุดปักนพปฎลมหาเศวตฉัตร (ฉัตรขาว 9 ชั้น)
โถงกลางภายในเป็นที่ประดิษฐานพระจิตกาธานสำหรับประดิษฐานพระบรมโกศ ติดตั้งฉากบังเพลิงทั้งสี่ทิศ เขียนรูปพระนารายณ์อวตารในปางต่างๆ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีบันไดทางขึ้นจากฐานชาลาทั้งสี่ทิศ ทิศตะวันตกหันหน้าเข้าพระที่นั่งทรงธรรม ทิศตะวันตกและทิศใต้ติดตั้งลิฟต์ที่ชั้นฐานชาลาแต่ละชั้น ทางด้านทิศเหนือของพระเมรุมาศ มีสะพานเกรินสำหรับใช้เป็นที่เคลื่อนพระบรมโกศจากราชรถปืนใหญ่ขึ้นบนพระเมรุมาศ
ฐานชาลาชั้นที่ 1 เป็นฐานสิงห์ เป็นรั้วราชวัตร ฉัตร แสดงอาณาเขตพระเมรุมาศ มีท้าวจตุโลกบาลประทับยืนที่มุมฐานชาลาหันหน้าเข้าสู่บุษบกประธาน มีเทวดาคุกเข่าถือบังแทรก
ฐานชาลาชั้นที่ 2 เป็นฐานปัทม์ เป็นที่ตั้งของบุษบกหอเปลื้องเครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนห้าชั้น จำนวน ๔ องค์ ตั้งอยู่ที่มุมฐานทั้งสี่ที่ใช้สำหรับจัดเก็บพระโกศทองใหญ่และพระโกศไม้จันทน์และอุปกรณ์สำหรับงานพระราชพิธี
ฐานชาลาชั้นที่ 3 เป็นฐานสิงห์ เหนือฐานสิงห์เป็นฐานเชิง บาตรท้องไม้มีเทพชุมนุมโดยรอบจำนวน 108 องค์ ถัดขึ้นไปเป็นบัวเชิงบาตร ฐานชั้นนี้เป็นที่ตั้งของบุษบกซ่างเครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนห้าชั้น จำนวน 4 องค์ ตั้งอยู่ที่มุมฐานทั้งสี่เป็นที่สำหรับพระพิธีธรรม 4 สำรับนั่งอยู่ประจำบุษบกซ่าง โดยจะผลัดกันสวดในการสวดพระอภิธรรม โดยจะผลัดกันสวดที่ละซ่างเวียนกันไปตลอดงานพระเมรุมาศ ลักษณะพระเมรุมาศพิเศษสุด แสดงศิลปกรรมล้ำเลิศเฉลิมพระบารมียิ่งใหญ่ไพศาลพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ผู้ดำรงสิริราชสมบัติยาวนานที่สุด และสถิตอยู่ในหัวใจของชาวไทยนิจนิรันดร์
...................................
* เอกสารประกอบการเขียน : เอกสารประกอบในกิจกรรมพิพิธภัณฑ์เสวนา ครั้งที่ 4 เรื่อง “สถาปัตยกรรมเนื่องในพระราชพิธีพระบรมศพ”


